ค้นหาบล็อกนี้
วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555
49 ข้อสังเกตแปลกๆ บนสังคมเว็บ
เอากลับมาให้อ่านอีกครั้ง กับ ข้อสังเกตุแปลกๆ บนสังคมอินเตอร์เน็ต
บ้างก็ใช่ .. บ้างก็ไม่ ยังไงก็อย่าคิ๊ดดดดดดดดดดดดมากคร่า อ่านเอาขำๆ จ๊ะ
1. คนรู้เรื่องของคนที่เขาเกลียดดีกว่าคนที่รัก
2. คนชอบถามหาหลักฐาน แต่เวลาตัวเองอ้าง มักไม่ค่อยจะมีหลักฐาน
3. เขียนยาวไปคนไม่อ่าน
4. เขียนสำนวนเคร่งขรึมคนก็ไม่อ่าน
5. ชาวเว็บไม่ชอบเรื่องซีเรียส ถึงเป็นเรื่องเครียดก็ต้องเขียนให้ฮา
6. ยอดคนคอมเมนต์แสดงความคิดเห็น เป็นเหมือนยอดภูเขาน้ำแข็ง
7. มีคนคอยตามอ่านเงียบๆ มากมายที่ไม่โผล่ตัวออกมา
8. บางทีเรื่องที่เถียงกันไม่มีสาระอะไร แต่เถียงกันไปเพราะแค่อยากเอาชนะ
9. ปิดจอคอมไปนอนก่อนซะ อาจจะดีกว่านั่งเถียงแบบอินเตอร์แอ็คทีฟ
10. เกรียนปากดีตามเว็บบอร์ด พอเจอตัวจริงมักเจี๋ยมเจี้ยม
11. แต่คนอัธยาศัยดีในบอร์ด ตัวจริงก็อัธยาศัยดีเหมือนกัน
12. มนุษย์สายพันธุ์กูเกิลรู้ทุกเรื่อง แต่ถ้าคุยลึกๆ จริงๆ แล้วจะไม่รู้สักเรื่อง
13. แถมวิเคราะห์ วิจารณ์ ไม่ได้อีกตะหาก
14. เรื่องดราม่ามักจบลงด้วยคำว่า "ขอโทษ"
15. แต่ถ้ามีเรื่องครั้งใหม่ เรื่องเดิมก็จะถูกขุดโคตรเหง้าศักราชมายำต่อ
16. คำด่าในเว็บ โดยมากมักจะไม่ใช่คำด่าจริงๆ ที่คนพิมพ์กล้าพูดต่อหน้า
17. คนด่าบางทีก็ลืมไปว่าตัวเองเคยด่าเรื่องอะไรไว้
18. แต่คนถูกด่ามักจะไม่ลืม
19. คอมเมนต์มักถูกชี้นำด้วยความคิดเห็นแรกเสมอ
20. โดยเฉพาะเว็บเด็ก X และพันติ๊ปเฉลิม X
21. เวลาไพรม์ไทม์ในการตั้งกระทู้ คือ 17.00-22.00
22. แต่เวลาอัพบล็อกจะเป็น 9.00-12.00 และ 19.00-23.00
23. อยากดราม่าให้เริ่มประเด็นต่อไปนี้ การเมือง สถาบันการศึกษา ภาษา ศาสนา ความเชื่อ และ XXX
24. แล้วอีกไม่นานคุณก็จะได้พาดหัวขึ้นดราม่าแอดดิคต์เอง
25. อีกวิธีคือไปหาเรื่องเมมเบอร์ดังๆ
26. เกือบทุกความคิดเห็นพร้อมจะเปลี่ยนข้างเมื่อกระแสเปลี่ยน
27. ทั้งที่ข้อเท็จจริงมันไม่เปลี่ยน
28. คนที่ไม่เปลี่ยนข้างมีสองกรณี คือเกรียน กับ มั่นใจ
29. ซึ่งทั้งสองประเภทแยกออกได้จากลักษณะการใช้คำ
30. คนตั้งกระทู้/เขียนบล็อกมีสามแบบ
31. หนึ่งคือเขียนแล้วทิ้ง กลับมาดูแต่ไม่ให้ความเห็นตอบ
32. สองคือตะบี้ตะบันขยันตอบมันทุกคอมเมนต์ ไม่ว่าจะเป็นคอมเมนต์หาเรื่องหรือคอมเมนต์ดีๆ
33. สามคือเลือกตอบเฉพาะคอมเมนต์ที่พอใจจะตอบหรือมีสาระพอจะตอบ
34. หลายคนอ่านแค่หัวเรื่องแล้วพิมพ์ตอบเลย
35. ซึ่งทำให้เกิดดราม่าหรือเรื่องฮา ขึ้นอยู่กับความซีเรียสของเนื้อหาและคำตอบ
36. แต่หลายคนอ่านจนครบแล้วก็ยังตอบไม่เข้าเรื่อง
37. เรียกว่าอ่านหนังสือไม่แตก เป็นปัญหาของระบบการศึกษาภาษาไทย
38. ทำให้เกิดดราม่ามากมาย หาได้ตามเว็บบอร์ดทั่วไป
39. การเถียงกันบนกระทู้สาธารณะ ไม่ร้ายเท่าการถูกส่งเมล์ด่า เอ็มเอสเอ็นด่า หรือหนักสุดคือโทรตามด่า
40. กรณีดังกล่าวถือว่าเป็นโรคจิตคุกคาม คนที่เคยโดนควรแจ้งตำรวจลงบันทึกประจำวัน
41. อย่าปล่อยให้คนโรคจิตบนเน็ตลอยนวล
42. คนที่อ้างว่าเป็นกลาง ไม่เคยเป็นกลางจริงๆ
43. บางทีคนเลือกข้างยังเป็นกลางกว่า
44. อำนาจโฟโต้ช็อปเหนือทุกสิ่ง
45. แต่ที่เหนือกว่าคือ ICT
46. เพราะประเทศนี้มีระบบกรองข้อมูลจากต่างประเทศระดับสูงที่มีเพียงสามประเทศในโลก
47. ซึ่งอีกสองประเทศคือจีนแดง และเกาหลีเหนือ
48. อย่าซีเรียสกับเรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้นบนสังคมอินเตอร์เน็ต
49. สุดท้ายแล้วเราก็ต้องทำงานหาเงินมาจ่ายค่าไฟ-ค่าเน็ตเองอยู่ดี ฮ่า
บารากู่
บารากู่ หมายถึง ยาสูบที่นำมาใช้กับอุปกรณ์ที่ใช้เสพที่มีชื่อเรียกว่า ฮุคคา hookah อุปกรณ์นี้มีชื่อเรียกที่ต่างกันหลายภาษาเช่น water pipe , narghile,shisha, hubble-bubble เป็นต้น ประเทศไทยเรียกว่าเตาบารากู่ การสูบยาสูบโดยใช้อุปกรณ์นี้เป็นวัฒนธรรมแถบตะวันออกกลางมานานแล้ว ซึ่งปัจจุบันนี้จะพบในโลกตะวันออกกลางแล้วยังพบในประเทศตะวันตกด้วย
สารที่นำมาใช้กับอุปกรณ์ฮุคคาไม่จำเป็นต้องแห้งสนิท ที่มักใช้กันก็มีชื่อว่า โทบาเมล หรือ มาแอสเซล ซึ่งประเทศไทยรู้จักในนามชื่อว่า บารากู่ เป็นส่วนผสมของใบยาสูบ (tobacco) กับสารที่มีความหวาน เช่น น้ำผึ้งหรือกากน้ำตาล (molasses) หรือผลไม้ตากแห้ง
วัฒนธรรมบารากู่
ในแถบตะวันออกกลางและตุรกี สามารถพบได้ในร้านอาหารและ ภัตตาคารทั่วไป ใช้สูบหลังอาหารแทนบุหรี่ บางแห่งสูบกันในแหล่งที่ใช้เป็นที่สังสรรค์ ดูรายการยอดนิยม หรือดูกีฬาระดับชาติร่วมกัน เมื่อไม่นานมานี้หลายรัฐในอเมริกาและแคนาดา ได้ห้ามการสูบในที่สาธารณะ ที่สกอตแลนด์และอังกฤษก็ห้ามเช่นกัน ในขณะเดียวกันก็เริ่มเป็นที่นิยมในบางแห่ง เช่น สเปนและรัสเซีย
ในเอเชียโดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มรู้จักกันมากขึ้น เริ่มเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นในปากีสถานและอัฟกานิสถาน ที่อินเดีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ก็มีความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนในประเทศไทยบารากู่พบแพร่หลายในสถานที่เที่ยวทั่วไป แม่ว่าตั้งแต่เริ่มมีข่าวเรื่องวัยรุ่นกับการใช้บารากู่ตั้งแต่ปี 2546กระทรวงสาธารณสุขได้ทำเรื่องเสนอไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาประการห้ามจำหน่ายและนำเข้าผลิตภัณฑ์นี้และได้รับการตอบรับแล้วก็ตาม
อันตรายของบารากู่
มีงานศึกษาเกี่ยวกับการใช้ฮุคคานั้น ถ้าใช้เวลาสูบนาน 45 นาที จะได้รับสารทาร์เป็น 36 เท่า คาร์บอนมอนนอกไซด์เป็น 15 เท่า และนิโคตินเป็น 70เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้บุหรี่ 9 มวน(ซึ่งคำนวณว่า1 มวนใช้เวลา 5 นาที) และอีกการศึกษาหนึ่งพบว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่สูบยาแล้ว มีโอกาสเป็นโรคเหงือกมากกว่าถึง 5 เท่า
วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555
ขอบตาคล้ำทำงัย
เคยไหมครับ ขอบตาคล้ำของเราที่ทำยังไงก็ยังไม่หาย หรือไม่ดีขึ้น
V_V ไม่ว่าจะทาอายครีม(แพงนะแต่ใช้ได้นาน คริๆ)
V_V นวดรอบดวงตา(นวดทุกวันก็ขี้เกียจอะ 55)
V_V นอนตั้งแต่หัวค่ำ(ทำได้หรอ อิอิ)
V_V เอาแตงกวาและสารพัดผลไม้มาแปะก็ดีขึ้นนิดหน่อย(แปะแล้วเอามากินซะเลย ฮ่าๆ)
V_V นอนยกหัวสูงๆก็แล้ว(ปวดคอจัง อิอิ)
^_^ วิธีง่ายๆคับ อย่าสระผมตอนกลางคืนหรือก่อนนอนคับ จะทำให้ขอบตาเราคล้ำแถมยังทำให้เราเป็นหวัดได้ง่ายๆ ตื่นมาหัวฟูอีกต่างหาก 55 แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้เพราะในวันนั้นเราต้องเจอฝุ่นเยอะๆหรือหมอกควันอะไรก็แล้วแต่ ก็ควรเป่าผมให้แห้งก่อนนอนนะครับแล้วก็ห่มผ้าให้อุ่นๆจะได้ไม่เป็นหวัดเอาง่ายๆ
วิธีนี้บางคนอาจจะรู้แล้วนะคับ แต่เผื่อเพื่อนๆที่ยังไม่รู้และก็เครียดๆกับขอบตาคล้ำๆ แต่ก่อนผมเป็นคนขอบตาคล้ำคับดูแล้วตาเศร้าๆตอนนี้หายคล้ำแล้วคับ แทนที่ตาเราจะสว่างไสว หวานแหวว อิอิ เพื่อนๆลองไปปฏิบัติดูนะคับ
ที่สำคัญครับทานอาหารที่มีประโชน์(ไม่จำเป็นต้องแพง) ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ทำใจให้ไม่เครียดและผ่อนคลายอันนี้สำคัญครับ ธรรมะช่วยได้ ...กระทู้แรกในชีิวิตของผม ผิดพลาดยังไง แนะนำด้วยนะครับ
ตุงแดง
สัญญา ลักษณ์เตือนใจ ตุงเป็นเอกลักษณ์แสดงความเป็นล้านนาได้เด่นชัด ได้อนุรักษ์สืบทอดกันป็นที่รู้จักและเห็นอยู่กันทั่วไป ตุงมีหลายชนิด มีหลายประเภทมีการถ่ายทอดวิธีการทำตุงจากคนท้องถิ่นสู่คนรุ่นหลังกันหลาก หลาย แม้ว่ามีการนำตุงไปประดับตามอาคารบ้านเรือนตามสถานที่ต่าง ๆ เช่นโรงเรียม ห้องประชุมระดับชาติ เพื่อให้สวยงามและแสดงเป็นเอกลักษณ์ มากกว่าจะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันก็ตาม แต่เป็นการสืบทอดเผยแพร่ตุงเป็นอย่างดี จนไม่ต้องห่วงว่าตุงจะสูญหายไป ตามกาลเวลา ท่านผู้อ่านคงรู้จักตุงมากันบ้างแล้ว แต่มีตุงอีกชนิดหนึ่งเกี่ยวข้องพิธีกรรมของคนล้านานั้นคือ ตุงแดง
ทำไม ต้องอุทิศตุงแดง ตุงแดง หมายถึง ตุงหรือธงที่มีสีแดงสด คล้ายสีเลือด ทำมาจากผ้ามีขนาดความยาว 2 - 3 วา ตุงแดงบางผืนยาว 20 วา เรามักเห็นตุงแดงปักตามข้างทางถนนโดยทั่วไป หลายคนอาจสงสัยว่า ปักตุงแดงไว้ทำไม? ตุงแดงใช้ในพิธีกรรมที่อุทิศไปให้กับคนที่ตายโหง เช่น ตายเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ หรือถูกฆาตกรรม เมื่อตายไปญาติกลัวว่าจะกลายเป็นผีที่มีวิญญาณเร่ร่อน จึงอุทิศตุงแดงเพื่อให้ดวงวิญญาณผู้ตายเกาะขึ้นสวรรค์
เครื่องประกอบ พิธีกรรม พระอธิการรุ่งโรจน์ ชุติโรจโน เจ้าอาวาสวัดร้องเข็ม จ.แพร่ เล่าให้ฟังถึงพิธีกรรมการอุทิศตุงแดงว่า ในการอุทิศตุงแดงให้กับผู้ล่วงลับจะทานหลังจากเผาศพแล้ว 1 - 2 วัน หรือในช่วงที่ตั้งศพบำเพ็ญกุศลอยู่ มีเครื่องประพิธีกรรมดังนี้ ตุงแดง แขวนบนไม้รวก 1 อัน นำไปปักที่บริเวณที่ ที่คนนั้นตาย เพื่อให้ผู้ตายเกาะ หรือใช้เป็นบันไดไต่ขึ้นไปบนสวรรค์ เจดีย์ทรายกองใหญ่ 1 กอง เจดีย์กองน้อน 100 กอง พร้อมทั้งช่อหน้อยตุงชัย (ตุงขาวรูปสามเหลี่ยมอันเล็กๆ) เทียนสำหรับปักบนเจดีย์ทราย และด้ายสายสิญจน์ เครื่องอัฐบริขารต่างๆ เช่น อาหารคาวหวาน ข้าวสาร กล้วย อ้อย มะพร้าวเป็นต้น และไก่ขาว 1 ตัว
ขั้นตอนการทำมีวิธีดังนี้
นำเครื่องพิธีกรรมต่างๆ ไปบริเวณผู้เสียชีวิต
ทำกองทราย กองใหญ่ 1 กอง กองเล็ก 100 กอง ปักเทียน ปักช่อหน้อยตุงชัย บนกองทราย
ปักตุงแดงบริเวณคนนั้นเสียชีวิต
พ่ออาจารย์ หรือ อาจารย์วัด กล่าวคำถวายตุงแดงและเครื่องอัฐบริขาร
พระสงฆ์จำนวน 4 รูป หรือ 1 รูป ตามแต่เจ้าภาพนิมนต์สวด และประพรมน้ำมนต์
ทำ พิธีฝังไก่ขาว โดยขุดหลุมไกล้ๆ บริเวณตุงแดง นิมนต์พระสงฆ์กล่าวคำขอไถ่ถอนดวงวิญญาณผู้ตายให้ขึ้นสวรรค์หลุดพ้นจากการ เป็นวิญญาฯเร่ร่อน โดยได้นำไก่ขาวมาฝัง เพื่อขอไถ่วิญญาณ เป็นอันเสร็จพิธี
วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2555
เคล็ดลับการใช้ชีวิต
เคล็ดลับการใช้ชีวิต
1. ความคิด ส่งผลต่อเซลล์ทุกเซลล์ในทุกระบบของร่างกาย และสามารถส่งผลไปถึงเซลล์ของคนอื่น ๆ ได้ด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เซลล์ในระบบประสาท ดังนั้น จงพยายามคิดบวกอยู่เสมอ
2. ในแต่ละวัน คุณจะรับอิทธิพลจากแรงดึงดูดของความคิดคนอื่น ๆ อยู่ตลอดเวลา พยายามกำหนดสติ
คัดเลือกเฉพาะความคิดในทางบวกให้เข้ามามีอิทธิพลต่อคุณ
3. จงบอกตัวเองอยู่เสมอว่า คุณสามารถกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองได้ ชีวิตเป็นไปตามพลังความรู้สึก
แม้ว่าจะมีความรู้สึกบางอย่างที่เป็นกรรมเก่าฝังอยู่ในภวังคจิตก็ตาม คุณก็สามารถใช้ความคิดซึ่งเป็นกรรมปัจจุบัน
ไปเปลี่ยนแปลงได้ ความรู้สึกเกิดจากความคิดจำนวนมากที่มาหลอมรวมกัน
ดังนั้นในแต่ละวันพยายามคิดดีอยู่เสมอ ย้ำซ้ำ ๆ ลงไปจนเกิดเป็นความรู้สึกใหม่ที่ดี ไปลบล้างความรู้สึกลบที่ผุดขึ้นมาจากภวังคจิต
4. การให้ คือ การเพิ่ม ไม่ว่าสิ่งที่ให้จะเป็นลบหรือบวก ถ้าให้ลบกับคนอื่น ลบในตัวคุณก็จะเพิ่มขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น คุณให้วิทยาทานให้ความรู้เป็นทาน ขณะที่คุณให้ จิตวิญญาณคุณก็จะเข้ามารับสิ่งนั้นด้วย ยิ่งให้ยิ่งเก่ง ยิ่งสอนยิ่งรู้ ยิ่งเรียนยิ่งฉลาด ยิ่งบริจาคยิ่งรวย
5. หากรู้สึกโกรธใครสักคน จงหมั่นคิดถึงเขาแต่ในทางดี ในที่สุดความรู้สึกโกรธจะหายไปเอง ความรู้สึกเป็นเรื่องของจิต
แต่ความคิดเป็นเรื่องของสมอง คุณห้ามความรู้สึกไม่ได้ แต่ห้ามความคิดได้ ความคิดกับความรู้สึก แยกส่วนกัน ถ้ารู้สึลบแล้วคิดบวก เหมือนน้ำที่ราดบนกองไฟ แต่ถ้ารู้สึกลบแล้วยังคิดลบ จะเหมือนการราดน้ำมันลงบนกองไฟ
6. จงพยายามฝึกมองส่วนบวกที่ซ่อนอยู่ในลบ ฝึกจนเกิดความสามารถพิเศษ เพราะคนที่จะเป็นอัจฉริยะได้
ต้องมีความสามารถพิเศษนี้ สิ่งลบๆ ที่เกิดในชีวิตประจำมีมากมาย พยายามใช้ปัญญาเข้าไปวิเคราะห์ ในวิกฤติ ย่อมมีโอกาส
คนคิดบวก จะเห็นบวกที่ซ่อนอยู่ในลบ แต่คนคิดลบจะเห็นแต่ส่วนลบแม้สิ่งนั้นจะเป็นบวก
7. จงจำไว้ว่า ทุก ๆ คนมีแก้วสารพัดนึกอยู่ในตัว เพียงแต่บางคนเท่านั้นที่สามารถนำมันขึ้นมาใช้ได้ เพราะต้องมีเคล็ดลับบางอย่าง
ซึ่งเคล็ดลับนั้น ก็คือ ขอ เชื่อ รับ ของกระบวนการในเดอะซีเคร็ต นั่นเอง
8. ถ้าคิดลบต่อเหตุการณ์ใด จะดึงดูดให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง คุณจึงเห็นคนล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้ง
นั่นเป็นเพราะยังไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงวิธีคิด
อกหัก
อกหัก คือวลีทั่วๆไปที่ใช้อธิบายความเจ็บปวดทางอารมณ์อย่างรุนแรง หรือความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากการตาย, การหย่าร้าง, การโยกย้ายที่อยู่, ถูกปฏิเสธ ฯลฯ คำๆนี้เป็นคำที่มีใช้มาแต่โบราณและถูกใช้อย่างกว้างขวาง
โดยทั่วไปแล้ว อกหักมักจะเกี่ยวข้องกับการสูญเสียคู่สมรส หรือ คนที่รัก การสูญเสียผู้ให้กำเนิด, ลูก, สัตว์เลี้ยง หรือ เพื่อนสนิท ก็อาจเรียกได้ว่าอกหักเช่นกัน วลีนี้เกี่ยวข้องถึงความเจ็บปวดบริเวณหน้าอกจากการสูญเสีย และโดยทั่วไป วลีนี้ก็มักจะใช้ในสภาพอาการนี้ ซึ่งถูกเรียกว่า Broken Heart Syndrome (หรือ Takotsubo cardiomyopathy) อันมีสาเหตุมาจากการที่สมองหลั่งสารเคมีออกมาเพื่อทำให้เนื้อเยื่อหัวใจอ่อนแอลง
มุมมองในเชิงปรัชญา
คนหลายๆคนไม่รู้ตัวถึงอาการอกหักในทันที แต่ใช้เวลาระยะหนึ่งในการรับรู้ถึงความเจ็บปวดทั้งทางอารมณ์และกายภาพอย่างสมบูรณ์ดั่งที่ Jeffrey Moussaieff Masson กล่าวเอาไว้ว่า:
มนุษย์หาได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ตนมีตลอดเวลา เช่นเดียวกับเดรฉานที่ไม่สามารถแสดงความรู้สึกของมันออกมาเป็นคำพูดได้ นี่มิได้หมายความว่าพวกมันไม่มีความรู้สึก ซิกมุนด์ ฟรอยด์เคยกล่าวเอาไว้ว่า ผู้ชายอาจจะตกหลุมรักผู้หญิงสักคนหนึ่งได้ถึงเวลา 6 ปี โดยไม่รู้ตัวจนกระทั่งหลายอีกปีผ่านไป ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อโลก เขาไม่สามารถบรรยายความรู้สึกที่เขาไม่รู้ออกมาเป็นคำพูดได้ เขามีความรู้สึกแต่เขาไม่รู้จักมัน อาจจะดูเหมือนเป็นการขัดแย้งในตัวเองเพราะเราคิดถึงสิ่งที่เรารู้สึก คิดถึงบางสิ่งที่เรารับรู้อย่างมีสติ ดั่งที่ฟรอยด์กล่าวเอาไว้ในบทความ The Unconscious (จิตไร้สำนึก) "เป็นที่แน่นอนที่สุดว่าแก่นแท้ของอารมณ์ที่เราควรจะตระหนักถึง แต่ก็อีกนั่นแหละ มันยิ่งกว่าคำถามที่ว่าเราสามารถ "มี" ความรู้สึกที่เราไม่รู้
อาการ
อาการอกหักสามารถปรากฏได้โดยความเจ็บปวดทางจิต แต่ก็มีหลายๆผลกระทบที่ส่งผลเชิงกายภาพ ประสบการณ์อกหักนี้มักจะถูกคำนึงถึงในลักษณะที่อธิบายไม่ได้ รายการต่อไปนี้เป็นรายการของอาการโดยทั่วไปที่อาจเกิดขึ้น
ปวดแน่นหน้าอก ซึ่งคล้ายคลึงกับ Panic attack
ปวดท้อง และ/หรือ ไม่อยากอาหาร
นอนไม่หลับ
โกรธ
ตกใจ
ระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
เซื่องซึม
รู้สึกเหงา
สูญเสียความหวัง และแรงขับเคลื่อน
สูญเสียความเคารพและความเชื่อมั่นในตนเอง
ความเจ็บป่วยทางการแพทย์และจิตวิทยา
มีความต้องการฆ่าตัวตาย
เคลื่อนไส้อาเจียน
เหนื่อยล้า
Thousand-yard stare
ร้องไห้ถี่ๆ หรือต่อเนื่อง
รู้สึกอ้างว้าง
ร้ายแรงที่สุดคือ ตรอมใจตาย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)