ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2555

อกหัก




อกหัก คือวลีทั่วๆไปที่ใช้อธิบายความเจ็บปวดทางอารมณ์อย่างรุนแรง หรือความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากการตาย, การหย่าร้าง, การโยกย้ายที่อยู่, ถูกปฏิเสธ ฯลฯ คำๆนี้เป็นคำที่มีใช้มาแต่โบราณและถูกใช้อย่างกว้างขวาง

โดยทั่วไปแล้ว อกหักมักจะเกี่ยวข้องกับการสูญเสียคู่สมรส หรือ คนที่รัก การสูญเสียผู้ให้กำเนิด, ลูก, สัตว์เลี้ยง หรือ เพื่อนสนิท ก็อาจเรียกได้ว่าอกหักเช่นกัน วลีนี้เกี่ยวข้องถึงความเจ็บปวดบริเวณหน้าอกจากการสูญเสีย และโดยทั่วไป วลีนี้ก็มักจะใช้ในสภาพอาการนี้ ซึ่งถูกเรียกว่า Broken Heart Syndrome (หรือ Takotsubo cardiomyopathy) อันมีสาเหตุมาจากการที่สมองหลั่งสารเคมีออกมาเพื่อทำให้เนื้อเยื่อหัวใจอ่อนแอลง





มุมมองในเชิงปรัชญา
คนหลายๆคนไม่รู้ตัวถึงอาการอกหักในทันที แต่ใช้เวลาระยะหนึ่งในการรับรู้ถึงความเจ็บปวดทั้งทางอารมณ์และกายภาพอย่างสมบูรณ์ดั่งที่ Jeffrey Moussaieff Masson กล่าวเอาไว้ว่า:

มนุษย์หาได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ตนมีตลอดเวลา เช่นเดียวกับเดรฉานที่ไม่สามารถแสดงความรู้สึกของมันออกมาเป็นคำพูดได้ นี่มิได้หมายความว่าพวกมันไม่มีความรู้สึก ซิกมุนด์ ฟรอยด์เคยกล่าวเอาไว้ว่า ผู้ชายอาจจะตกหลุมรักผู้หญิงสักคนหนึ่งได้ถึงเวลา 6 ปี โดยไม่รู้ตัวจนกระทั่งหลายอีกปีผ่านไป ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อโลก เขาไม่สามารถบรรยายความรู้สึกที่เขาไม่รู้ออกมาเป็นคำพูดได้ เขามีความรู้สึกแต่เขาไม่รู้จักมัน อาจจะดูเหมือนเป็นการขัดแย้งในตัวเองเพราะเราคิดถึงสิ่งที่เรารู้สึก คิดถึงบางสิ่งที่เรารับรู้อย่างมีสติ ดั่งที่ฟรอยด์กล่าวเอาไว้ในบทความ The Unconscious (จิตไร้สำนึก) "เป็นที่แน่นอนที่สุดว่าแก่นแท้ของอารมณ์ที่เราควรจะตระหนักถึง แต่ก็อีกนั่นแหละ มันยิ่งกว่าคำถามที่ว่าเราสามารถ "มี" ความรู้สึกที่เราไม่รู้







อาการ
อาการอกหักสามารถปรากฏได้โดยความเจ็บปวดทางจิต แต่ก็มีหลายๆผลกระทบที่ส่งผลเชิงกายภาพ ประสบการณ์อกหักนี้มักจะถูกคำนึงถึงในลักษณะที่อธิบายไม่ได้ รายการต่อไปนี้เป็นรายการของอาการโดยทั่วไปที่อาจเกิดขึ้น



ปวดแน่นหน้าอก ซึ่งคล้ายคลึงกับ Panic attack
ปวดท้อง และ/หรือ ไม่อยากอาหาร
นอนไม่หลับ
โกรธ
ตกใจ
ระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
เซื่องซึม
รู้สึกเหงา
สูญเสียความหวัง และแรงขับเคลื่อน
สูญเสียความเคารพและความเชื่อมั่นในตนเอง
ความเจ็บป่วยทางการแพทย์และจิตวิทยา
มีความต้องการฆ่าตัวตาย
เคลื่อนไส้อาเจียน
เหนื่อยล้า
Thousand-yard stare
ร้องไห้ถี่ๆ หรือต่อเนื่อง
รู้สึกอ้างว้าง
ร้ายแรงที่สุดคือ ตรอมใจตาย

จะนอกใจหรือใจเดียว (Men's Health)


จะนอกใจหรือใจเดียว (Men's Health)

เรื่อง Men’s Health UK แปลและเรียบเรียง Albatross

          สังคมส่วนใหญ่มักประณามการคบชู้ แต่ถ้าการทำเจ้าชู้ให้ถูกจังหวะเป็นครั้งคราวช่วยทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นได้ล่ะ อ่านต่อไปนะครับ ความลับเกี่ยวกับความซื่อสัตย์แห่งศตวรรษที่ 21 จะได้ถูกเปิดเผยเสียที

          คุณรู้ว่าไม่ควร แต่บางครั้งการทำเป็นไม่สนใจเสียงเล็ก ๆ ในหัว (หรือไม่ว่าเสียงนั่นจะมาจากไหนก็แล้วแต่) ที่ไม่ยอมหายไปง่าย ๆ ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่ถ้าพูดกันตามหลักของเหตุผลวิวัฒนาการของผู้ชายคือหลักฐานที่พอจะบอกได้ว่า การมีผัวเดียวเมียเดียวน่าจะเป็นแนวคิดที่สังคมสมัยใหม่สร้างขึ้นมา แล้วการนอกใจจะเป็นผลดีกับคุณได้บ้างไหมนะ

          ตามผลการสำรวจความเห็นเมื่อปี 2009 ผู้ชาย 1 ใน 10 ราย บอกว่า จะนอกใจถ้าคิดว่าเอาตัวรอดได้ แต่ก่อนที่คุณจะตัดสินใจทำอะไรลงไป อาจมีคำถามที่สำคัญกว่าข้อที่ว่าคุณจะถูกจับได้หรือเปล่าเสียอีก นั่นคือคำถามที่ว่าการนอกใจเป็นผลดีกับคุณหรือเปล่า ไม่ว่าจะอย่างไร การนอกใจก็มีผลต่อสุขภาพ ความสุข และแม้กระทั่งเงินเดือนของคุณ ฉะนั้น ขอให้อ่านต่อไปให้จบ แล้วคุณจะรู้ว่าเสียงเล็ก ๆ นั่นจะทำให้บางแง่มุมของชีวิตคุณดีขึ้นได้ในโอกาสใดบ้าง

เงิน
ทำร้ายจิตใจ แต่ได้เงิน

          หากการเป็นเพื่อนเที่ยวไม่ใช่สิ่งที่คุณทำเป็นงานพิเศษ คุณก็ไม่น่าจะได้เงินจากหญิงอื่นหรอกครับ แต่การยอมรับเรื่องการคบสาวทีละหลาย ๆ คนอาจเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เงินเดือนคุณมีศูนย์เพิ่มขึ้นมาอีกตัวก็ได้นะครับ เพราะการสำรวจโดย MSBC พบความสัมพันธ์ระหว่างการมีรายได้สูง ๆ กับการนอกใจ โดยชี้ให้เห็นว่าในกลุ่มผู้ชายที่มีรายได้ต่ำกว่า 21,500 ปอนด์ มีคนที่นอกใจอยู่ 21 เปอร์เซ็นต์

          ส่วนในกลุ่มที่มีรายได้สูงกว่า 185,000 ปอนด์ ตัวเลข ดังกล่าวจะพุ่งขึ้นเป็น 32 เปอร์เซ็นต์เลยล่ะ ลองนึกถึงกระแสเคมีที่พุ่งพล่านอยู่ในร่างกายผู้ชายรวย ๆ ก็ได้ครับ ตามที่ ดร.เฮเลน ฟิชเชอร์ นักมานุษยวิทยาชีวภาพ ระบุว่า สารเคมีที่ร่างกายหลั่งออกมาในช่วงที่มีการพัฒนาความสัมพันธ์ทางเพศกับสาวคนใหม่ ทั้งอะดรีนาลิน โดพามีน และเทสทอสเทอโรน คือสิ่งที่เป็นประโยชน์ในที่ทำงานพอ ๆ กับในห้องนอนเลยล่ะ

          สิ่งที่ควรทำ ถึงจะทำใจให้ยอมรับความรู้สึกผิดที่นอกใจแฟนเพียงเพื่อประโยชน์เรื่องเงินได้ คุณก็ยังจะต้องวางฟอร์มไม่น้อยเพื่อให้ทำสำเร็จ “โดยธรรมชาติแล้วพวกผู้หญิงจะสนใจผู้ชายที่มั่นใจในตัวเองครับ” แมทธิว ฮัลซีย์ นักเสริมสร้างพลังชีวิต กล่าว “ไม่ว่าจะในด้านภาษากายหรือพฤติกรรม ผู้ชายที่มีเสน่ห์ดึงดูดมากที่สุดย่อมเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นสูงที่สุดอยู่แล้วล่ะครับ”

          เขาแนะให้ใช้วิธีถึงเนื้อถึงตัวเพื่อต่อใจสาว ไม่ใช่ให้ทำรุ่มร่ามกับเธอนะครับ แต่ให้ทำกับผู้ชายด้วยกันต่างหาก การตบหลังเพื่อนหรือตีแขนเด็กเสิร์ฟตอนเอ่ยคำขอบคุณสำหรับบริการที่ดี จะทำให้เธอรู้สึกว่าคุณเป็นผู้ชายที่เหนือกว่าคนอื่น ๆ แต่ถ้าคุณเปลี่ยนเป็นคนละคนกัน แถมยังแหกปากตะโกนว่า “ทำงานดีนี่ไอ้น้อง” เธอก็คงไม่เหลือความรู้สึกดี ๆ ให้คุณแล้วล่ะครับ

สุขภาพ
ซื่อสัตย์ไว้แล้วจะดีเอง

          การคบผู้หญิงเพียงคนเดียวดีต่อสุขภาพของคุณมากกว่า การพยายามจะคบทีละหลาย ๆ คนเยอะเลยครับ ตัวเลขของสำนักงานสถิติแห่งชาติชี้ให้เห็นว่า ผู้ชายที่สมรสมีอายุยืนกว่า สุขภาพดีกว่า และคาดหวังได้มากกว่าว่า น่าจะได้รับการดูแลรักษาที่บ้านในยามแก่ตัวลง และการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยโอทาโกพบว่า การสมรสยังช่วยลดโอกาสที่คุณจะป่วยเป็นโรคทางจิตเวชด้วย

          ถึงการศึกษาทั้งคู่นี้จะไม่ได้บอกว่าผู้ชายที่สมรสพวกนั้นไม่เคยนอกใจภรรยาเลย แต่การศึกษาที่มหาวิทยาลัยตูรินพบว่า คนไข้ที่มีโอกาสเสี่ยงในการเป็นไมเกรน และโรคหลอดเลือดโป่งพองที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตคือผู้ชายที่คบชู้ ซึ่งคงเป็นเพราะความเครียดที่ต้องคอยโกหกนั่นแหละครับ

          สิ่งที่ควรทำ ใส่ใจตัวเองด้วยการใส่ใจในความสัมพันธ์ของคุณนะครับ นักจิตวิทยา จอห์น กอตต์แมน ระบุถึง “อัตราส่วนมหัศจรรย์” ของพฤติกรรมที่จัดเป็นการใส่ใจในความสัมพันธ์ นั่นคือในแต่ละครั้งที่มีปฏิสัมพันธ์เชิงลบคู่สมรสควรจะชดเชยด้วยการมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวก 5 ครั้ง เริ่มนับกันบนฟลอร์เต้นรำก็ได้ เพราะงานวิจัยที่มหาวิทยาลัยกอดดิงนานพบว่า ถ้าคุณเป็นนักเต้นเท้าไฟที่หาตัวจับได้ยากคุณก็จะเป็นที่สนใจของสาว ๆ มากกว่า

          แต่ถ้าดันไปมีเซ็กซ์กับหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยา คุณก็ควรจะสารภาพกับเธอ การศึกษาโดยมหาวิทยาลัยโคโลราโดสเตทพบว่า ผู้ชายที่สารภาพจะมีปัญหาด้านสุขภาพน้อยกว่าผู้ชายที่พยายามจะปิดยังนะครับ





เซ็กซ์
ไม่นอกใจ...ได้อีกแน่

          ผู้ชายคนหนึ่งมีเซ็กซ์กับผู้หญิง 1 คน ส่วนอีกคนมีเซ็กซ์กับผู้หญิง 2 คน แน่ใจหรือเปล่าว่าคนหลังเหนือชั้นกว่า ผมว่าไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกครับ การศึกษาที่ใช้ชื่อว่า Money, Sex and Happiness โดยนักเศรษฐศาสตร์ที่ดาร์ตเมาท์คอลเลจในสหรัฐฯ และมหาวิทยาลัยวอร์วิกบ่งชี้ว่า การมีคู่ขาเยอะขึ้นไม่ได้แปลว่าโดยรวมแล้วคุณจะมีเซ็กซ์เยอะขึ้นด้วย ถ้าความประมาททำให้คุณถลำตัวไปแล้ว ก็มีโอกาสที่คุณจะลงเอยด้วยการเป็นโสดอีกครั้ง

          นี่ไม่ใช่เหมืองทองสำหรับเรื่องอย่างว่า ซึ่งคุณอาจจะเคยฝันกลางวันไว้เป็นฉาก ๆ เคต ฟิเจส ผู้เขียน Couples The Truth บอกว่า อันที่จริงชายโสดมีโอกาสที่จะอดอยากปากแห้งมากกว่าผู้ชายที่แต่งงานแล้วตั้ง 20 เท่าเชียวนะครับ ไทเกอร์อาจจะเคยล่าเหยื่อได้ง่าย ๆ แต่พนันได้เลยว่าทุกวันนี้ ชีวิตเซ็กซ์ของเขาจะต้องตกต่ำถึงขีดสุดอย่างแน่นอน

          สิ่งที่ควรทำ ถึงการฮันนีมูนจะจบลงแล้ว คุณก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำเจ้าชู้ไปทั่ว “คุณอาจมีชีวิตเซ็กซ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด ขณะที่ความสัมพันธ์ดำเนินไปเรื่อย ๆ นี่แหละ” ฟิเจสกล่าว ทำให้ไฟปรารถนาในตัวเธอคงความคุกรุ่นด้วยการปรุงอาหารที่ช่วยกระตุ้นความต้องการให้เธอกินบ่อย ๆ นะครับ

          สเต็กที่เสิร์ฟพร้อมกับเห็ดและมะเขือเทศนับเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะล้วนอุดมด้วยวิตามินบี (ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าจะช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเพศในร่างกายของเธอ) และอย่าลืมเสิร์ฟผลิตภัณฑ์จากองุ่นให้เธอจิบ พอกรึ่ม ๆ ด้วยล่ะ เพราะการวิจัยที่มหาวิทยาลัยฟลอเรนซ์ พบว่า ผู้หญิงที่ดื่มไวน์แดงวันละ 1-2 แก้วจะร้อนแรงกว่าน่ะสิ

สถานภาพ
ไม่เจ้าชู้ ไม่เสียชื่อ

          ในความคิดของคุณ การเป็นผู้ชายที่ชอบหักอกผู้หญิงเล่นอาจดูเซ็กซี่ องอาจ และสุดเจ๋ง แต่การศึกษาระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยเนวาดาในลาสเวกัส ชี้ให้เห็นว่าไม่น่าจะเป็นวิธีที่ทำให้คุณชนะใจเพื่อน และมีอิทธิพลเหนือผู้คนหรอกครับ เพราะการวิจัยนี้ระบุว่า 82-94 เปอร์เซ็นต์ ของคนในประเทศแถบตะวันตกไม่ยอมรับเรื่องการนอกใจ

           พวกเราเป็นคนประเภทปากว่าตาขยิบกันสุด ๆ เลยล่ะครับ  ฟิลลิป ฮอดสัน จากสมาคมให้คำปรึกษา และจิตบำบัดของอังกฤษ กล่าว “มีพวกเราหลายคนที่ทำแบบนั้น แต่ถ้าเป็นคนอื่นท่า เราก็ยังเห็นว่านั่นเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้อยู่ดี  แถมยังได้ไม่คุ้มเสียอีกต่างหาก

          สิ่งที่ควรทำ นักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเจอร์เจียในสหรัฐฯ พบว่า การรู้จักควบคุมตนเองเป็นคุณลักษณะเชิงพฤติกรรมที่ถ่ายทอดถึงกัน ซึ่งแปลว่าถ้าเพื่อน ๆ คุณทุกคนอยู่กินกับแฟนอย่างมีความสุข โอกาสที่คุณจะไปหาเศษหาเลยนอกบ้านจะลดน้อยลงด้วย

          อย่างไรก็ดี ถ้าเพื่อน ๆ คุณดันไปทำตัวเลียนแบบหนุ่มเนื้อหอมที่ชื่อ "แอชลีย์ โคล" คุณคงจะต้องสร้างชื่อด้วยการฉีดน้ำหอมแทน ขอแนะนำให้ใช้น้ำหอมกลิ่นส้ม เพราะการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Psychological Science พบว่า กลิ่นส้มมีความเกี่ยวโยงกับความบริสุทธิ์สะอาด ความมีศีลธรรม และพฤติกรรมที่ดีงาม ถึงคุณจะไม่ได้ทำตัวแบบนั้นเลยก็เถอะ



ความสุข
สุขนั้นนิรันดร

          ถึงอัตราการหย่าร้างจะชวนให้คิดในทางตรงกันข้าม แต่การศึกษาส่วนใหญ่ชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ระยะยาวจะทำให้คุณมีความสุขในระยะยาวเช่นกัน และตัวเองล่าสุดจาก National Marriage Project ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จีเนียในสหรัฐฯ ชี้ให้เห็นว่า ผู้ชายที่แต่งงานแล้วถึง 63.2 เปอร์เซ็นต์ระบุว่าตัวเองเป็นคนที่ มีความสุขมาก  ไม่ว่าจะเป็นเพราะการคาดหวังเรื่องลูก ๆ หรือแค่ความจริงที่ว่าคุณอาจมีเซ็กซ์ได้แทบทุกเมื่อและทุกลีลาที่ต้องการก็ตาม

          แต่ฟิเจสบอกว่า ถ้าคุณนอกใจแฟน ความสุขที่ว่าก็ไม่น่าจะดำรงต่อไปได้ ธรรมเนียมปฏิบัติแบบใหม่ดูเหมือนว่า  ถ้าคุณพลาดครั้งเดียวก็จบกัน  นะคะ

          สิ่งที่ควรทำ ข้อนี้คุณคงต้องทำใจกันหน่อย แต่วิธีที่จะทำให้คงความซื่อสัตย์เอาไว้ได้คือการเจ๊าะแจ๊ะกับหญิงอื่นนี่ไม่ได้พูดเล่นนะครับ การวิจัยโดยนักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยลิวเวนในเบลเยียมชี้ให้เห็นว่า ยิ่งยอมเผชิญหน้ากับมันมากเท่าไร เราก็จะยิ่งอดทนต่อความเย้ายวนใจได้ดีขึ้นเท่านั้น ความอดทนของเราจะเพิ่มขึ้น

          ถ้าเราเพิ่งเผชิญกับความเผ้ายวนใจในทำนองเดียวกัน จริง ๆ แล้วการคุยกับผู้หญิงที่อาจจะเคยต่อใจให้คุณออกนอกลู่ นอกทางไปบ้าง จึงช่วยให้คุณมีความแน่วแน่มากขึ้น ทั้งยังทำให้ความสัมพันธ์ของคุณเองเป็นความสัมพันธ์ที่มีความสุขยิ่งขึ้นและมั่นคงกว่าที่เคย ขอแค่จำไว้ให้ดีว่าตอนที่ลองทำเป็นครั้งแรก คุณจะต้องเข้มแข็งเข้าไว้...ห้ามเผลอใจเด็ดขาดครับ

ผมรักเธอ

















ระวัง!!!โรคที่มากับหน้าร้อน


สงกรานต์ใกล้จะมาถึง หลายคนตั้งตารอนับถอยหลังเพื่อไปสนุกในวันสงกรานต์ แต่ถ้าดูแลตัวเองไม่ดี ก็อาจป่วยได้ เพราะโรคนานาชนิด ที่จ่อคิวต้อนรับคนที่ไม่ใส่ใจสุขภาพเท่าไรนัก

สาเหตุส่วนใหญ่ของอาการป่วยมักมาจากน้ำดื่มและอาหารที่ไม่สะอาด และอาหารเสียง่าย โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร

มาดูกันว่า หน้าร้อนนี้ มีโรคอะไรที่ต้องระวังกันบ้าง

 และโรคระบบทางเดินหายใจ


      1.โรคอุจาระร่วง เกิดจาดเชื้อโรคต่าง ๆ ทั้ง แบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว และพยาธิ ติดต่อได้ทางอาหารหรือน้ำดื่มที่มีเชื้อเหล่านี้ปน ต้องระวังให้ดีหากร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่มาก จะทำให้ช็อค หมดสติ หากรักษาไม่ทันท่วงที อาจเสียชีวิตได้




     2.โรคอาหารเป็นพิษ เป็นโรคที่พบได้บ่อยมาก และมักจะเกิดอย่างรวดเร็วหลังทานหรือดื่มเข้าไป มักพบในอาหารที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆจากเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนเชื้อ อาการส่วนมากจะคลื่นไส้อาเจียน บางรายมีอาการถ่ายเหลว ไม่มีไข้ หายเองได้ หากเป็นมากต้องได้รับเกลือแร่เสริม

    3.โรคบิด เกิดจากเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนในอาหารเช่นเดียวกัน ผู้ป่วยจะถ่ายเป็นมูกปนเลือดบ่อยครั้ง และรู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุด



    4.ไทฟอยด์ หรือที่รู้จักกันว่า ไข้รากสาดน้อย เชื้อปนเปื้อนมาเหมือนกับโรคอื่น ๆ อาหารส่วนใหญ่ที่มักพบว่าทำให้เกิดโรค ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากนม หอย ไข่ เนื้อสัตว์ น้ำ ผู้ป่วยโรคนี้ สัปดาห์แรกไข้มักไม่สูง อาจมีอาการปวดศีรษะ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีหนาวสั่นได้ คนไข้ซึมลง มีอาการเพ้อ

    5.อหิวาตกโรค เป็นโรคติดต่อที่มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย เข้าสู่ร่างกายโดยทางอาหารและน้ำที่มีเชื้อโรคปน เชื้อจะสร้างพิษออกมาทำปฏิกิริยากับเยื้อปุผนังลำไส้เล็กทำให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง อุจจาระเป็นสีน้ำซาวข้าว ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้เสียชีวิตได้

    6.โรคผิวหนัง ผด ผื่นคันต่าง ๆ กลาก เกลื้อน ก็มักจะเกิดในช่วงหน้าร้อนนี้ด้วยเช่นกัน เราสามารถป้องกันได้ด้วยการรักษาความสะอาดอยู่เสมอ ด้วยการอาบน้ำ และในการเล่นน้ำสงกรานต์ก็ต้องระวังเช่นกัน เพราะอาจเจอน้ำที่ไม่สะอาด อาจทำให้เกิดผื่นคันได้

    7.โรคระบบทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม ตัวร้อน จามไอ เนื่องจากอากาศเปลี่ยนทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน และเจ็บป่วยง่าย
อีกโรคหนึ่งที่ต้องระมัดระวังด้วยเช่นกัน คือโรคลมแดด หรือฮีทสโตรก แม้จะไม่มีการรายงานผู้เสียชีวิต และก็ประมาทไม่ได้เพราะประเทศมีอุณหภูมิในหน้าร้อนเฉลี่ยสูงขึ้นทุกปี ๆ เป็นอาการที่ร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนออกได้ มักจะเกิดกับเด็กและผู้สูงอายุ

    8.โรคพิษสุนัขบ้า หรือโรคกลัวน้ำ เป็นอีกโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่มีสุนัขเป็นพาหะ สามารถติดเชื้อได้โดยการข่วน กัด หรือเลียผิวหนังที่มีแผล ไวรัสโรคพิษสุนัขบ้านี้เมื่อมีอาการของโรคจะเสียชีวิตทุกราย และสามารถป้องกันได้โดยฉีดวัคซีน หากมีสัตว์เลี้ยงบ้านให้นำไปฉีดทุกปี เพื่อความปลอดภัยสำหรับทุกคน

    9.โรคเครียด ไม่ว่าหน้าไหน ฤดูไหน ก็เครียดกันได้ตลอด แต่ในอาการร้อน มักจะทำให้ปวดหัวง่าย หงุดหงิดง่าย และคนที่เครียดอยู่แล้ว อาจมีอาการมากขึ้น เราสามารถคลายเครียดได้ด้วยการหลบไปอยู่ในที่อากาศเย็นสบาย หรือหางานอดิเรกทำ ก็คลายเครียดได้



แค่นี้คุณนี้จะมีหน้าร้อนที่สดใส หากดูแลสุขภาพตัวเอง

    เพื่อเป็นการป้องกันตัวเอง ไปดูวิธี กินอย่างไร ให้ปลอดภัย ในหน้าร้อน

นร.ไม่เห็นด้วยใช้ O-NET แทนคะแนนสอบปลายภาค ติงข้อสอบยาก


ใกล้เข้ามาแล้วสำหรับ แอดมิดชั่นส์ ปีนี้ หลังจากที่สอบอะไรต่ออะไรกันมามายมาก วันนี้พี่ๆทีมงาน Sanook! Campus มีผลสำรวจ ของ "สวนดุสิตโพล" ที่ได้สำรวจความคิดเห็นของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย กรณี การสอบ O-NET/GAT/PAT โดยการสำรวจเชิงปริมาณที่ใช้วิธีการสัมภาษณ์เจาะลึกจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ จำนวน 1,035 คน สรุปผลได้ดังนี้





1. นักเรียนให้ความสำคัญต่อการสอบต่อไปนี้มากน้อยเพียงใด?
(1) การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต / O-NET)
อันดับ 1 ให้ความสำคัญมาก 63.40%
เพราะ เด็กนักเรียนทุกคนจะต้องปฏิบัติตามนโยบายที่กระทรวงศึกษาฯกำหนดเพื่อวัดระดับมาตรฐานการศึกษา ฯลฯ
อันดับ 2 ค่อนข้างให้ความสำคัญ 28.35%
เพราะ เป็นการวัดระดับผลการเรียนและทดสอบความรู้จากความสามารถของเด็กเอง ฯลฯ
อันดับ 3 ไม่ค่อยให้ความสำคัญ 6.21%
เพราะ เหมือนเป็นการทดสอบประเภทหนึ่ง ,การสอบที่ผ่านมายังมีปัญหา เช่น เรื่องข้อสอบและมาตรฐานในการสอบ ฯลฯ
อันดับ 4 ไม่ได้ให้ความสำคัญเลย 2.04%
เพราะ ไม่เห็นด้วยกับการทดสอบนี้ การออกข้อสอบกับการนำผลคะแนนที่ได้ไปใช้ ยังไม่มีความชัดเจนพอ ฯลฯ

(2) การทดสอบความถนัดทั่วไป (GAT)
อันดับ 1 ให้ความสำคัญมาก 64.94%
เพราะ ต้องนำคะแนนที่ได้ไปใช้ต่อในระดับมหาวิทยาลัย ,เป็นการทดสอบความถนัดทั่วไป ฯลฯ
อันดับ 2 ค่อนข้างให้ความสำคัญ 25.53%
เพราะ ทางโรงเรียนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ได้ให้คำแนะนำและชี้แจงถึงเหตุผลของการสอบ ฯลฯ
อันดับ 3 ไม่ได้ให้ความสำคัญเลย 5.72%
เพราะ เป็นความต้องการของผู้ใหญ่โดยไม่ถามความสมัครใจของเด็ก ฯลฯ
อันดับ 4 ไม่ค่อยให้ความสำคัญ 3.81%
เพราะ ไม่สามารถวัดผลได้อย่างแท้จริง รูปแบบการสอบจะต้องมีความหลากหลายมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ฯลฯ

(3) การทดสอบความถนัดทางวิชาการ /วิชาชีพ(PAT)
อันดับ 1 ให้ความสำคัญมาก 59.59%
เพราะ คะแนนที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาต่อและเป็นตัวที่บอกถึงอนาคตของเราได้ว่าจะไปในทิศทางใด ฯลฯ
อันดับ 2 ค่อนข้างให้ความสำคัญ 27.93%
เพราะ เป็นตัวชี้วัดให้เห็นถึงความสามารถพิเศษ หรือความชำนาญเฉพาะด้านของนักเรียน ฯลฯ
อันดับ 3 ไม่ค่อยให้ความสำคัญ 6.40%
เพราะ การสอบแบบปกติของทางโรงเรียนก็หนักพออยู่แล้ว และยังต้องมาทดสอบแบบทั่วประเทศอีก ฯลฯ
อันดับ 4 ไม่ได้ให้ความสำคัญเลย 6.08%
เพราะ ไม่แน่ใจว่าในอนาคตจะต้องยกเลิกหรือมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการสอบอีกหรือไม่ ฯลฯ

2. นักเรียนคิดว่าเพราะสาเหตุใด? การทดสอบ O-NET /GAT/PAT จึงได้คะแนนต่ำ
(1) สาเหตุที่ทำให้การทดสอบ (O-NET) คะแนนต่ำ
อันดับ 1 ข้อสอบยาก /เนื้อหาที่โรงเรียนสอนกับข้อสอบที่ออกมาไม่ตรงกัน 70.29%
อันดับ 2 ตัวเด็กเองไม่เต็มที่กับการสอบ ไม่ตั้งใจอ่านหนังสือ ขาดการเอาใจใส่ 25.94%
อันดับ 3 เวลาในการสอบมีน้อย ทำข้อสอบไม่ทัน ไม่มีเวลาพอที่จะทบทวนข้อสอบที่ทำไป 3.77%

(2) สาเหตุที่ทำให้การทดสอบ (GAT) คะแนนต่ำ
อันดับ 1 คำตอบในข้อสอบมีความเป็นไปได้เกือบทุกข้อ โจทย์หลอกเยอะ 74.50%
อันดับ 2 ขึ้นอยู่กับความตั้งใจ การทบทวนและพยายามทำความเข้าใจกับเนื้อหาที่เรียน 22.50%
อันดับ 3 คำถามยาวเกินไปทำให้ทำข้อสอบไม่ทัน 3.00%

(3) สาเหตุที่ทำให้การทดสอบ (PAT) คะแนนต่ำ
อันดับ 1 วิชาที่สอบเฉพาะทางยาก เน้นการคิดวิเคราะห์มากเกินไป 77.07%
อันดับ 2 ในโรงเรียนเน้นวิธีการสอนแบบท่องจำมากกว่าให้เด็กหัดคิดวิเคราะห์เอง 20.54%
อันดับ 3 ข้อสอบเยอะ ทำไม่ทัน 2.39%

3. นักเรียนคิดว่าควรปฏิบัติอย่างไร? การทดสอบ O-NET /GAT/PAT จึงได้คะแนนสูง
(1) วิธีที่ทำให้การทดสอบ (O-NET) คะแนนสูง
อันดับ 1 ตัวเด็กเองต้องมีความตั้งใจในการทำข้อสอบ ทบทวนบทเรียนให้มากขึ้นกว่าเดิม 69.97%
อันดับ 2 ช่วงใกล้สอบ ทางโรงเรียนควรจัดให้มีการติวสำหรับเด็ก 16.31%
อันดับ 3 ฝึกทำข้อสอบให้มากขึ้น โดยอาจค้นหาจากเว็บไซต์หรือสอบถามแนวทางจากรุ่นพี่ 13.72%

(2) วิธีที่ทำให้การทดสอบ (GAT) คะแนนสูง
อันดับ 1 พยายามทำความเข้าใจกับเนื้อหาของข้อสอบ ค่อยๆอ่าน ไม่รีบร้อน 64.50%
อันดับ 2 โรงเรียนควรปรับวิธีการสอน นำเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความรู้ทั่วไปมาสอนเพิ่มเติม 19.08%
อันดับ 3 หน่วยงานที่ออกข้อสอบควรออกข้อสอบที่ตรงกับเนื้อหาที่เด็กเรียนมาจากในห้องเรียน 16.42%

(3) วิธีที่ทำให้การทดสอบ (PAT) คะแนนสูง
อันดับ 1 ตัวเด็กเองต้องขยัน ตั้งใจเรียน ตั้งใจอ่านหนังสือ หมั่นทบทวนอย่างสม่ำเสมอ 67.52%
อันดับ 2 ทางโรงเรียนควรเชิญเจ้าหน้าที่ของ สทศ. มาให้คำแนะนำหรือการเตรียมตัวก่อนสอบ 18.31%
อันดับ 3 ต้องฝึกทำข้อสอบเชิงวิเคราะห์ให้มากขึ้นโดยเฉพาะในวิชาที่เลือกสอบ 14.17%

4. โรงเรียนควรปฏิบัติอย่างไร? การทดสอบ O-NET /GAT/PAT จึงได้คะแนนสูง
(1) วิธีที่ทำให้การทดสอบ (O-NET) คะแนนสูง
อันดับ 1 ทางโรงเรียนจัดให้มีการเรียนพิเศษนอกเหนือจากเวลาเรียน 67.53%
อันดับ 2 ตัวครูเองควรทุ่มเท สละเวลาให้กับเด็กมากกว่านี้ /มีความรู้ความสามารถ 25.83%
อันดับ 3 ทางโรงเรียนควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายของการสอบที่ชัดเจนและตรงเป้าหมาย 6.64%

(2) วิธีที่ทำให้การทดสอบ (GAT) คะแนนสูง
อันดับ 1 ทางโรงเรียนต้องหาข้อสอบหรือแบบฝึกหัดที่เน้นการคิดวิเคราะห์มาให้เด็กทำ 66.17%
อันดับ 2 โรงเรียนต้องพัฒนา ปรับปรุงวิธีการเรียนการสอนให้เข้ากับการสอบ 22.89%
อันดับ 3 ทางโรงเรียนจะต้องกระตุ้น สนับสนุนให้เด็กเห็นถึงความสำคัญของการสอบ 10.94%

(3) วิธีที่ทำให้การทดสอบ (PAT) คะแนนสูง
อันดับ 1 ทางโรงเรียนจัดให้มีการเรียนพิเศษนอกเหนือจากเวลาเรียน 67.23%
อันดับ 2 เชิญผู้ที่มีความรู้และมีประสบการณ์ในการสอบมาพูดให้ฟัง เช่น รุ่นพี่ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง 22.92%
อันดับ 3 สร้างบรรยากาศในชั้นเรียนหรือในโรงเรียนให้เด็กเกิดความสนใจในการสอบ 9.85%

5. กระทรวงศึกษาฯ และ สทศ.ควรปฏิบัติอย่างไร? การทดสอบ O-NET /GAT/PAT จึงได้คะแนนสูง
(1) วิธีที่ทำให้การทดสอบ (O-NET) คะแนนสูง
อันดับ 1 ออกข้อสอบให้ตรงกับเนื้อหาที่เรียนในชั้นเรียน 47.63%
อันดับ 2 ควรมีนโยบายหรือมาตรฐานในการสอบให้เหมาะสมกับสภาพของแต่ละโรงเรียน 42.32%
อันดับ 3 การนำแนวข้อสอบหรือข้อสอบที่ผ่านมาให้นักเรียนลองทำ 10.05%


(2) วิธีที่ทำให้การทดสอบ (GAT) คะแนนสูง
อันดับ 1 ออกข้อสอบที่ชัดเจน เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน 59.39%
อันดับ 2 จำนวนข้อสอบ โจทย์ที่ถามควรมีความเหมาะสมกับเวลาที่กำหนด ให้เด็กมีเวลาทบทวนข้อสอบ 33.67%
อันดับ 3 เพิ่มการประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้เกี่ยวกับการสอบให้มากขึ้น 6.94%

(3) วิธีที่ทำให้การทดสอบ (PAT) คะแนนสูง
อันดับ 1 ออกข้อสอบที่ชัดเจน เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน / ไม่ต้องใช้การคิดวิเคราะห์มากเกินไป 56.03%
อันดับ 2 การบริการด้านข้อมูล ให้คำปรึกษาแนะนำที่เป็นประโยชน์แก่การสอบ 37.35%
อันดับ 3 มีข้อสอบให้ฝึกทำและสามารถดาวน์โหลดได้ง่าย 6.62%

6. นักเรียนคิดอย่างไร? กรณีที่มีกระแสว่าอยากจะให้คะแนนสอบ (O-NET) แทนคะแนนสอบปลายภาค ม.3-ม.6
อันดับ 1 ไม่เห็นด้วย 73.86% เพราะ ข้อสอบโอเน็ตยากกว่าข้อสอบปลายภาค ,ข้อสอบไม่ตรงกับเนื้อหาที่เรียน ,กลัวสอบตก ฯลฯ
อันดับ 2 เห็นด้วย 26.14% เพราะ เป็นการสอบระดับชาติที่วัดคุณภาพการศึกษาไทย ,เด็กทุกคนมีโอกาสและมีสิทธิเท่าเทียมกัน ,จะได้เตรียมตัวสอบได้ถูก ฯลฯ

TDRI นำเสนอข้อมูลและแนวโน้มด้านการศึกษาของไทยในประเด็นต่างๆ ต่อ ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ดร.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน นางศิริพร กิจเกื้อกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา หารือกับ ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธาน TDRI และนางอุทุมพร จามรมาน ที่ปรึกษาผู้ตรวจการแผ่นดิน ในการร่วมประชุมเพื่อหาแนวทางพัฒนาการศึกษา

โดยข้อมูลที่นำเสนอ อาทิ งบประมาณด้านการศึกษาไทยได้เพิ่มมากขึ้นเป็น ๒ เท่า และไม่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ส่วนเงินเดือนของครูไทยไม่ได้ต่ำเหมือนเมื่อก่อน เฉลี่ยข้าราชการครูได้รับเงินเดือน ๓๐,๐๐๐ บาทต่อเดือน ในขณะที่ผลการวิจัยกลับพบว่าการปรับเพิ่มเงินเดือนครู ยังไม่ทำให้ผลสัมฤทธิ์นักเรียนดีขึ้นมากนัก สำหรับนักเรียนไทยใช้เวลาเรียนมาก แต่สัมฤทธิ์ผลต่ำ เป็นลำดับท้ายๆ ของโลก โดยคะแนนผลสอบทุกแห่ง เช่น TIMSS, PISA, O-Net มีแนวโน้มลดลง และมีคะแนนต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ ฮ่องกง แค่สูงกว่าอินโดนีเซียเท่านั้น ในส่วนของสถานศึกษาแต่ละสังกัดก็ยังมีความแตกต่างกันมากในด้านคุณภาพการจัดการศึกษา ที่สำคัญการแสดงความรับผิดชอบ (Accountability) ต่อคุณภาพการศึกษาในทุกระดับยังคงมีน้อยมาก

นอกจากนี้ ที่ผ่านมาการประเมินคุณภาพ ได้เน้นตรวจสถานศึกษามากกว่าดูผลสัมฤทธิ์ ส่งผลให้สถานศึกษาแม้จะผ่านเกณฑ์เพิ่มขึ้น แต่ผลการเรียนแย่ลง และในการทดสอบ O-Net พบว่ามีผลส่วนหนึ่งต่อนักเรียน ม.๖ ในการเข้ามหาวิทยาลัย แต่ไม่มีผลใดๆ ต่อโรงเรียน หรือมีผลต่อนักเรียนชั้นอื่นๆ เลย ทำให้ไม่เกิดความรับผิดชอบใดๆ ต่อคุณภาพการศึกษา

ในเรื่องเงินอุดหนุนรายหัวโรงเรียนเอกชน พบว่ายังมีความไม่เท่าเทียมกับโรงเรียนของรัฐ ทั้งที่สามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพ นอกจากนี้ปัญหาสำคัญของโรงเรียนเอกชนที่ต้องประสบบ่อยๆ คือ มีครูเอกชนลาออกไปสอบบรรจุเป็นจำนวนมาก โดยในปี ๒๕๕๔ มีครูเอกชนถึง ๒,๐๐๐ คน ลาออกไปสอบบรรจุเป็นข้าราชการครู

ข้อเสนอเชิงนโยบาย TDRI ได้มีข้อเสนอเชิงนโยบายที่สำคัญ

ควรจัดสอบมาตรฐานทุกชั้นเรียน หรืออย่างน้อยทุกระดับ เป็นเกณฑ์ในการให้ขึ้นชั้น (Exit Exam)
ใช้การเพิ่มคะแนนสอบมาตรฐานในการประเมินผลโรงเรียนและครู และมีผลกับการจัดสรรงบประมาณให้รวมทั้งมีผลต่อค่าตอบแทนครูและผู้บริหาร สร้างความสามารถให้แก่โรงเรียนในการปรับตัว เพิ่มอิสระของโรงเรียนในการบริหารครู เช่น การสรรหาครูตามความต้องการ ปรับน้ำหนักเงินอุดหนุนรายหัวให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เน้น Supply Sideให้เงินอุดหนุนรายหัวโรงเรียนรัฐและเอกชน อย่างเสมอภาค
ความคาดหวังของ TDRI เมื่อดำเนินการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่

๑. วางระบบตรวจสอบและสร้างความรับผิดชอบ (Accountability) ของโรงเรียน โดยจะต้องมีการเปิดเผยข้อมูลผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน มีระบบที่ผูกการประเมินครู ผู้บริหาร โดยดูที่ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนเป็นหลัก การจัดการศึกษามีระบบกลไกตรวจสอบโดยผู้ปกครองส่วนใหญ่ พร้อมทั้งมีหน่วยงานส่วนกลางติดตามผลสัมฤทธิ์นักเรียน

๒. เพิ่มความมีอิสระ (Autonomy) ของโรงเรียน เช่น มีกระจายอำนาจการบริหารงบประมาณ และเพิ่มความมีอิสระด้านหลักสูตร

ทั้งนี้ เมื่อมีการปฏิรูปการศึกษาอย่างเป็นระบบ จะส่งผลให้ประสิทธิภาพโรงเรียนเพิ่มขึ้นจาก ๗๓% เป็น ๗๘% และคะแนนการประเมินผลนักเรียนระดับนานาชาติ (PISA) เพิ่มขึ้นจาก ๔๒๑ เป็น ๔๔๔ คะแนน รวมทั้งอันดับของไทยขยับเพิ่มขึ้นจาก ๔๖ เป็น ๔๑

ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศธ. กล่าวในที่ประชุมว่า TDRI ถือเป็นหน่วยงานที่มีชื่อเสียง ที่ผ่านมาได้ทำวิจัยตามข้อเท็จจริง โดยไม่เกรงใจใคร จึงต้องการให้มาช่วยพัฒนาการศึกษาร่วมกันกับกระทรวงศึกษาธิการ โดยได้หารือในเบื้องต้นที่จะทำงานกับ ศธ. ใน ๒ ส่วน คือ

๑) เป็นที่ปรึกษาองค์กรหลัก ศธ. ตาม Time Frame เป็นระยะๆ

๒) ให้นำข้อเสนอแนวทางการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ของ TDRI นี้ ปรับเป็นยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของ ศธ. โดยมอบให้เลขาธิการ กพฐ.รับไปดำเนินการตามมาตรการเชิงนโยบายให้เป็นรูปธรรม และรายละเอียดการทำงานที่ชัดเจนร่วมกับองค์กรหลักอื่นๆ ต่อไป พร้อมทั้งให้มีการกำหนด TOR การทำงานร่วมกันให้ชัดเจนเป็นรูปธรรม เพื่อหวังจะให้เกิดความยั่งยืนในการทำงาน แม้เปลี่ยนรัฐบาลหรือรัฐมนตรี โดยเน้น Focus การทำงานบางเรื่องที่มีผลกระทบกับการศึกษาก่อน เช่น รายวิชาต่างๆ ที่เป็นเครื่องมือการเรียนรู้ การจัดทำข้อสอบมาตรฐาน ฯลฯ ทั้งนี้ขอให้แต่ละองค์กรหลักตั้งงบประมาณปีนี้และปีหน้าในการทำงานร่วมกันต่อไปด้วย

ที่มา : ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี

สัมผัสที่ 6 ที่ทำให้คุณเจอวิญญาณ




สงสัย ไหมว่าทำไมบางคนถึงเห็นผี และเห็นบ่อยด้วย แต่บางคนก็ไม่เคยแม้แต่จะเจอ ลบหลู่ขนาดไหนก็ไม่เจอ ลองอ่านเรื่องราวที่เรานำมาฝากแล้วอาจจะเข้าใจมากขึ้นค่ะ...แต่อ่านแล้วต้อง ใช้สติในการตัดสินใจนะคะ

1.คนที่เกิดวันอาทิตย์

ช่วงไหนที่คุณเจ็บป่วย ไม่สบาย หรือไม่ก็อ่อนแอทางจิตใจ ให้หลีกเลี่ยงที่จะใกล้ชิดกับผู้หญิงที่กำลังตั้งท้อง เพราะพลังอะไรบางอย่างที่ลึกลับ อาจจะทำให้คุณเห็นผี หรือ วิญญาณ ได้

2.คนที่เกิดวันจันทร์

สำหรับคุณแล้ว จะส่องกระจกน่ะส่องได้ แต่อย่าส่องหลังเวลาเที่ยงคืนถึงเช้า โดยเฉพาะในกระจกร้าว และถ้าได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ หรือเสียงเรียกเวลาค่ำคืน อย่าพูดทัก หรือขานตอบ เพราะนั่นอาจจะเป็นเสียงที่ทวงถามวิญญาณของคุณก็ได้

3.คนที่เกิดวันอังคาร

คนเกิดวันอังคารลำบากกว่าคนเกิดวันอื่นเสียแล้ว เพราะคุณไม่ควรเข้าห้องน้ำนอกบ้าน ถ้าไม่มีธุระ คุณควรจะอยู่ให้ห่างจากห้องน้ำที่ไม่น่าไว้ใจเอาไว้ เพราะอาจมีบางอย่างแอบติดตามคุณออกมา หรือปรากฏให้คุณเห็น

4.คนที่เกิดวันพุธ

คุณไม่ควรไปงานศพ เพราะอาจจะมีวิญญาณติดตามตัวคุณกลับออกมา แต่ถ้าหากว่าเป็นงานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากที่กลับมาจากงานศพแล้ว ให้รีบอาบน้ำก่อนเที่ยงคืน และถ้าจะให้ดีน้ำที่อาบควรเป็นน้ำว่าน

5.คนที่เกิดวันพฤหัสบดี

ในยามวิกาล มืดๆ อย่ามองไปที่หัวบันได เพราะคุณอาจจะมีอะไรบางอย่างปรากฏให้คุณเห็นที่ตรงนั้น หากว่าได้ยินเสียงแป ลกๆ คล้ายๆ กับเรียกชื่อคุณ อย่าขานตอบ ให้ก้าวเท้าถอยหลัง 1 ก้าว แล้วเสียงนั้นจะหายไป

6.คนที่เกิดวันศุกร์

เคยได้ยินหรือเปล่าว่าธาตุน้ำ อาจจะเป็นเหมือนประตูเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์ กับ โลกวิญญาณ ดังนั้น คนที่เกิดวันศุกร์อย่างคุณควรหลีกเลี่ยงการเดินทางทางน้ำ

7.คนที่เกิดวันเสาร์

ศาลพระภูมิ คือ สิ่งต้องห้ามสำหรับคนเกิดวันเสาร์ ไหว้ เคารพ ได้ แต่อย่ามองจ้อง หากได้ยินเสียงหมาเห่า หอน เกรียวกราว ใกล้ๆ ตัว นั่นอาจแปลได้ว่าคุณกำลังโดนติดตามโดยภูตผี วิญญาณ