ค้นหาบล็อกนี้
วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2555
ความแตกต่างระหว่าง ''นักเลง'' กับ ''มาเฟีย''และ''อันธพาล''
ขออุทิศบทความนี้ให้แก่ "คุณตา" นักเลงตัวจริงในดวงใจของผม
ในช่วง เวลานี้ทุกคนคงได้อ่านข่าวหนังสือพิมพ์หรือจากสื่ออื่นๆว่าทางรัฐบาลกำลัง ปราบปรามผู้มีอิทธิพลหรือมาเฟีย เจ้าพ่อ-เจ้าแม่ต่างๆทั่วกรุงเทพฯเนื่องจากธุรกิจต่างๆในกรุงเทพฯมีมากมาย นับไม่ถ้วนจึงทำให้ผลประโยชน์มหาศาล
มาเฟียหลายๆกลุ่มต่างก็เข้าไปแย่งชิงเม็ดเงินในธุรกิจเหล่านี้ โดยใช้วิธีการข่มขู่สารพัด คุกคามทุกรูปแบบทั้งต่อหน้าและลับหลัง สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก โดนทั้งเก็บค่าคุ้มครอง ถ้าไม่ให้ก็จะใช้ลิ่วล้อไปสร้างความก่อกวนต่างๆนานา ทำให้ไม่เป็นอันทำมาหากิน
มาเฟีย-กลุ่มนอกกฎหมายที่ใช้อิทธิพลสำแดงเดชต่อสังคมไปในทางที่ไม่ดี ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
มาเฟียในปัจจุบันส่วนใหญ่มี ข้าราชการ ตำรวจ ทหารเข้าไปมีเอี่ยวมากพอสมควรตามความโลภของแต่ละบุคคล
ทุกท่านคงจะคุ้นกับคำว่า "คนมีสี" กลุ่ม คนมีสีเหล่านี้จะเข้าไปมีบทบาทในเรื่องของการรับจ้างทวงลิขสิทธิ์ บริษัทรักษาความปลอดภัย รับจ้างทวงหนี้ไปจนกระทั้งรับจ้างฆ่า!! กลุ่มคนนอกรีดเหล่านี้เป็นส่วนน้อยของกองทัพ รายได้ประจำเดือนที่ทางกองทัพให้อาจไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องจึงต้องหันมาหา งานนอกทำ คนพวกนี้สร้างความเสื่อมเสียให้แก่กองทัพเป็นอย่างมาก
...น่าสงสารคนดีๆที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่ต้องมาพลอยมัวหมองกับพวกนอกแถวเช่นนี้
มาเฟีย ในเครื่องแบบเหล่านี้นับวันยิ่งจะมีผุดมามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะไปทางไหนก็ได้ยินแต่ชื่อ เสธ.นั่น เสธ.นี่ มั่วไปหมด ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องหนาวๆร้อนๆเพราะไม่รู้ว่าจะถึงคิวต้องจ่ายให้พวก นี้เมื่อไหร่....
อันธพาล-บุคคลที่ ประพฤติตัวเป็นคนเกเร ชอบระรานหาเรื่องคนอื่น ชอบข่มขู่รีดไถชาวบ้าน พวกนี้ก็คล้ายกับมาเฟียตรงที่สร้างแต่ความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น
นักเลง-คนที่รักท้องถิ่น ใจกว้าง รักพวกพ้องและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาทุกรูปแบบในฐานะ "ลูกผู้ชาย"ตราบใดที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นทั้งยังชอบช่วยเหลือบุคคลที่อ่อนแอกว่าด้วย
คนที่ได้รับการขนานนามว่า "นักเลง" นั้น ต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์สูงพอสมควร ผ่านการต่อสู้ทั้งมือ-ตีน มีด และปืนผาหน้าไม้สารพัดกว่าจะก้าวมาถึงจุดนั้นได้
ตั้งแต่ เกิดมาไม่เคยได้ยินว่ามีนักเลงท่านไหนรังแกชาวบ้านเลย มีแต่พวกอันธพาลเท่านั้นที่ยังคอยก่อกวนผู้อื่นอยู่เป็นนิจไม่ต่างอะไรกับ พวกมาเฟีย
...อย่าลืมว่า "นักเลง"กับ "อันธพาล"และ"มาเฟีย"ไม่เหมือนกัน
นึก ถึงสมัยก่อน(ตอนสมัยรุ่นๆคุณตาคุณยายซึ่งเป็นผู้เล่าให้ฟัง) ท่านเล่าว่า ถ้ามีชาวบ้านคนใดถูกอันธพาลรังแก ก็จะไปขอร้องให้ คนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักเลงช่วย คนๆนั้นก็มีใจรักความยุติธรรม รักพวกพ้องเป็นที่สุดก็ไปช่วยจัดการเคลียร์ปัญหาให้อย่างไม่คิดเกรงกลัวโดย ไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆเลย
...นี่กระมังที่เขาเรียกว่า ใจนักเลง
นับแต่นี้เป็นต้นไปขอจงโปรดเข้าใจให้ถ่องแท้และแยกแยะให้ออกว่า
...อันไหน"นักเลง" อันไหน"มาเฟีย"และ"อันธพาล"
ฝึกสมองให้ไบรท์ด้วย 9 เทคนิค
ต่อไปนี้เป็นข้อแนะนำสำหรับการฝึกสมองให้ไบรท์หรือเฉลียวฉลาด ขึ้นค่ะ น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับวัยเรียนและสำหรับคนทำงานที่ใช้สมองจนอ่อนล้าไปมาก แล้วส่วนว่าจะมีเทคนิคอะไรกันบ้างนั้น เชิญติดตามกันได้เลยค่ะ
1. จิบน้ำบ่อยๆ
สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์ เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ

คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวันจำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่นค่ะ
3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)
4. ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆเพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับ สิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและ หวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯเพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
8. เขียนบันทึก Graceful Journal
ฝึกเขียนขอบคุณ สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึกเช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก
พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
9. ฝึกหายใจลึกๆ
สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์
วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555
สิ่งที่ผู้หญิงไม่ชอบ
สิ่งที่ผู้หญิงไม่ชอบ
เนื่อง จากความเป็นเพศหญิง ซึ่งมีความคิดความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน การจะทำให้พวกเธอชอบนั้นจึงไม่ใช่สิ่งที่ง่ายๆเลย ถ้าเราไม่รู้จักพวกเธอให้ดีพอ แต่ก่อนที่จะทำให้เธอชอบ เรามาเรียนรู้สิ่งที่พวกเธอไม่ชอบในตัวเรากันก่อนดีกว่า เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยง ไม่ทำให้มันเกิดขึ้น เพราะคุณจะเสียคะแนน และผิดใจกับเธอไปเปล่าๆ จากนั้นค่อยมารู้กันว่าพวกเธอชอบอะไรในตัวคุณ
ความอ่อนแอ
ธรรมชาติ สร้างผู้ชายมาให้มีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าผู้หญิง เพื่อที่จะปกป้องเธอจากอันตรายทั้งปวง ผู้หญิงจึงไม่ชอบผู้ชายอ่อนแอ ไม่ชอบผู้ชายขี้กลัว ขี้ขลาด วิตกกังวล หวั่นไหวง่าย ซึ่งความอ่อนแอมีอยู่ในตัวผู้ชายทุกคน และพร้อมที่จะแสดงออกมาเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย หรือช่วงเวลาที่เกิดอารมณ์เศร้า หดหู่ แต่เราต้องเก็บมันเอาไว้ ถึงแม้จะหวั่นไหว เจ็บปวด เสียใจ แค่ไหน ไม่ว่าด้วยเรื่องอะไรก็ตาม อย่าแสดงออกให้ผู้หญิงเห็น เก็บไว้ให้มิดอย่าให้มันหลุดลอดออกมาได้แม้เพียงนิดเดียว แต่การเก็บอารมณ์ที่เป็นลบไว้โดยไม่ระบายออก ย่อมไม่เป็นผลดีต่อตัวเราเอง เราควรปลดปล่อยมันออกมาโดยใช้การตัดสินใจด้วยความกล้าหาญ ซึ่งความกล้าหาญนั้นหมายถึงการแสดงออกถึงความห้าวหาญที่เต็มไปด้วยกำลังใจ และพลังโดยการตัดสินใจที่ถูกต้องด้วยความรู้ ความคิด และเหตุผล ยกตัวอย่างเช่นทหารที่อยู่ในสมรภูมิรบ ทุกคนต่างหวาดกลัว หวั่นไหว และต้องการจะหนีเพื่อจะมีชีวิตรอด แต่พวกเขาเลือกที่จะต่อสู้ ในกรณีแรกพวกเค้าจะลืมความกลัวตาย ลุยเข้าไปในสมรภูมิอย่างบ้าบิ่น โดยไม่ได้คิดหรือวางแผนใดๆทั้งสิ้น ดูๆแล้วเหมือนคนกล้า แต่กรณีนี้ไม่เรียกว่าความกล้าหาญ แต่น่าจะเรียกว่าโง่ รนหาที่ตาย ใช้แต่กำลังไม่ใช้สมอง ซึ่งแตกต่างกับความกล้าหาญโดยสิ้นเชิง กรณีที่ 2 คือ การวางแผนอย่างรัดกุมในการเข้าโจมตีข้าศึก โดยใช้ความคิด ความรอบคอบ และความรู้ที่ได้ศึกษามาจากกองทัพ และออกรบด้วยฝีมือการรบที่ได้รับการฝึกฝนแล้วเป็นอย่างดีในฐานะทหาร จนในที่สุดก็รบชนะ สามารถยึดสมรภูมิของข้าศึกได้สำเร็จ กรณีนี้ถึงเรียกว่าความกล้าหาญที่แท้จริง จากตัวอย่างนี้ผู้ชายทุกคนคงเห็นภาพได้ชัดขึ้น ดังนั้นเมื่อใดที่เกิดความอ่อนแอขึ้นมาในจิตใจ ให้ระบายออกมาด้วยการตัดสินใจอย่างกล้าหาญ แล้วคุณจะทำให้ผู้หญิงประทับใจ
การทำดีกับเธอ
หัว ข้อนี้คงฟังดูแล้วขัดๆ ทำไมการทำดีกับผู้หญิงจึงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงไม่พึงปรารถนา จริงๆแล้วหากการทำดีนั้นเป็นการทำดีด้วยความหวังดี และไม่หวังผลตอบแทน เช่นถ้าเป็นพ่อแม่พี่น้อง เครือญาติ หรือเพื่อน ทำสิ่งดีๆให้เธอ ช่วยเหลือเธอด้วยความจริงใจ ย่อมไม่ทำให้เธอขัดใจแน่นอน แต่ถ้าคุณเข้ามาทำดีกับเธอเพื่อจะจีบเธอ นั่นแหละจะทำให้เธอรู้สึกไม่ดี ยิ่งคุณทำดีด้วยมากเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งรู้สึกอึดอัดมากขึ้นเท่านั้น พวกเธอรู้ดีว่าที่คุณเข้ามาทำดีกับ ซื้อของให้เธอ คอยขับรถรับส่งเธอ ไม่ใช่เพื่อตัวเธอ แต่เพื่อตัวคุณเอง เธอรู้ดีว่าคุณต้องการทำให้เธอรู้สึกดีกับตัวคุณ เพื่อที่เธอจะได้ชอบคุณ หยุดเถอะครับ ในกรณีนี้ พวกเธอจะตอบสนอง 2 ทาง คือ 1 หลอกใช้ ให้ความหวัง และต้องการสิ่งที่เราให้มากขึ้นเรื่อยๆ หรือ 2 คือหนีไปให้ไกลๆเท่าที่จะทำได้
การยอมรับในตัวเธออย่างง่ายๆ และความต้องการให้เธอยอมรับ
ผู้หญิง ชอบความท้าทาย ดังนั้นการยอมรับตัวเธออย่างง่ายๆ เช่นเมื่อเจอกันครั้งแรก ก็ชมเธอว่าสวยว่าน่ารัก นิสัยดี โดยปกติผู้ชายคงคิดว่าจะทำให้เธอพอใจ และยอมรับในตัวคุณมากขึ้น แต่เปล่าเลย เธอกลับตอบสนองในทางบวกกับการ ล้อเล่น เย้าแหย่ ยั่วยวน กวนประสาท มากกว่า มันทำให้เธอสนุก ท้าทาย และรู้สึกเป็นกันเองมากกว่า การชมเธอเสียอีก ไม่เชื่อดูตัวอย่างง่ายๆในหนังไทย ละครทีวี พระเอกและนางเอกมักจะเริ่มต้นด้วยการล้อเล่น เย้าแหย่ จนถึงขั้นทะเลาะกันเลยก็มี แต่ท้ายที่สุด กลับลงเอยกลายเป็นแฟนกัน แต่พวกพระรองหรือตัวประกอบที่เข้ามาทำดีกับเธอตั้งแต่แรก หวังจะให้เธอประทับใจนั้น กลับต้องรับประทานแห้ว (แปลว่าผิดหวัง) กันทั้งสิ้น ซึ่งในชีวิตจริงก็ด้วยเหมือนกัน และอีกอย่างที่คล้ายกันก็คือ ผู้หญิงไม่ชอบผู้ชายที่ทำตัวที่แสดงออกถึงความต้องการให้เธอยอมรับ เช่นการโชว์ออฟ (แสดงหรืออวดตัวว่าตัวเองเก่ง มีความสามารถ หรือมีอะไรเหนือกว่าคนอื่น) มันแสดงออกถึงการพยายามปกปิดปมด้อยของตัวเองมากกว่าที่จะทำให้เธอสนใจในสาย ตาและความรู้สึกของผู้หญิง รวมทั้งการบอกให้เธอรู้หมดทุกเรื่องด้วยความจริงใจ การคอยตามใจเธอ ด้วยเหตุผลเดียวกันนั่นคือ ได้มาง่าย และไม่ท้าทายนั่นเอง เชื่อไหมว่าผู้หญิงส่วนใหญ่จะตอบรับในทางบวก และให้ความสนใจ จนถึงคอยไล่ตามคนที่ไม่แยแสเธอ มากกว่าคนที่คอยตามตื๊อเธอเสียอีก
ความไม่จริงใจ
ผู้หญิง จะไม่ชอบผู้ชายที่ไม่จริงใจ ถ้ายังเป็นเด็กบ้องแบ๊วอยู่ล่ะก็ อาจจะไม่แปลกที่โดนหลอกง่ายๆ เอาไอติมมาล่อก็โดนจับไปขายได้ละ แต่ยิ่งโตขึ้น ประสบการณ์มากขึ้น ความรู้สึกและสัมผัสของเธอก็จะถูกลับให้แหลมคม ชนิดแค่เฉี่ยวๆก็เลือดออกได้แล้ว เพียงแต่พวกเธอชอบทำตัวแอ๊บแบ๊ว (แปลว่าเสแสร้งแกล้งทำว่าตัวเองใสซื่อ บริสุทธิ์ ไร้มลทิน และช่างอ่อนด้อยต่อโลกนัก) เมื่ออยู่ต่อหน้าเรา เราเลยไม่รู้มาก่อน ดังนั้นเธอจะรู้ได้ไม่ยากเลยว่า คนที่เข้ามาในชีวิตเธอ ใครจริงใจ ใครไม่จริงใจ ดังนั้นพวกผู้ชายจำไว้เลยว่า ต้องจริงใจกับผู้หญิงทุกคน อย่าได้หลอกหรือทำอะไรเพื่อหวังผลประโยชน์จากพวกเธอเป็นอันขาด มันจะทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อได้เจอกับคุณ และไม่อยากที่จะคบหากับคุณต่อไปอีก
ความจำเจ
อย่าง ที่ได้บอกไปแล้วว่าผู้หญิงชอบความตื่นเต้น ท้าทาย ความลึกลับน่าค้นหา นอกจากนี้ยังชอบการผจญภัย และการได้พบเจอกับสิ่งใหม่ๆอีกด้วย ดังนั้นผู้ชายที่ทำตัวจำเจซ้ำซาก ทำอะไรเดิมๆเวลาไปเที่ยวกับเธอ พูดด้วยน้ำเสียงโทนเดียวกันและอารมณ์เดียวกันตลอด แต่งตัวเดิมๆ ไม่เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย มีพฤติกรรมที่ซ้ำซากจำเจ (แม้แต่เรื่องบนเตียง) จะทำให้เธอเบื่อเอาได้ง่ายๆ ดังนั้นจงทำตัวให้น่าสนใจอยู่ตลอดเวลา รู้จักเซอร์ไพรส์เธอเมื่อมีโอกาส และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่จะทำให้ชีวิตคู่มีสีสันมากขึ้น (โดยเฉพาะเรื่องบนเตียง)
ตำราพิชัยสงคราม
ตำราพิชัยสงครามของไทยประเทศไทยมีตำราพิชัยสงครามใช้มา ตั้งแต่ในสมัยโบราณ ซึ่งนอกจากมีเนื้อหาเกี่ยวกับยุทธวิธีการรบด้วย ยังมีความเชื่อทางด้านฤกษ์ยามและโหราศาสตร์รวมอยู่ด้วย เช่น สมุดตำราพิชัยสงครามในสมัยอยุธยาวัสดุที่ใช้ทำสมุด ทำจากเยื่อของต้นสาหรือเรียกว่า กระดาษสา
ตัวอักษรที่ปรากฏในสมุดเล่มดังกล่าว เป็นลักษณะตัวอักษรไทยโบราณ และตัวอักษรขอมตัวอักษรไทยโบราณใช้เขียนบรรยายความทั่ว ๆ ไป ส่วนตัวอักษรขอมนั้นใช้เขียนในส่วนที่เป็นบทเวทย์มนต์ หรือยันต์
พิชัยสงครามของพระมหากษัตริย์
ผู้ปกครองแผ่นดินจะต้องศึกษาศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ เพื่อความสงบร่มเย็นแก่ไพร่ฟ้าทั้งปวง ให้รอบรู้หลักการปกครองบ้านเมือง เช่น ให้มีจิตวิทยาในการครองใจเสนาอำมาทย์ผู้สนองราชกิจต่างๆ เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นหลักชัยแห่งความสามัคคี และความจงรักภัคดีของอาณาประชาราษฎ์
ลักษณะให้บังเกิดศึก
หมายถึง การศึกสงครามจะเกิดขึ้นได้เพราะเหตุต่างๆ กล่าวคือ การจะเกิดศึกสงครามแต่ละคราวต้องมีต้นเหตุ ในตำราพิชัยสงครามระบุว่าสาเหตุที่จะบังเกิดศึกมี 13 ประการ คือ ด้วยเหตุแย่งชิงดินแดน แย่งทรัพย์สมบัติ พาหนะ มีผู้ยุยงให้แตกแยก เหตุจากสตรี เสียสัจจะ อุปทูต ราชทูตเจรจาขาดทางไมตรี ฆ่าฟัน ฝักใฝ่กษัตริย์ข้างใดข้างหนึ่ง ข่มเหงลูกค้าวานิช รับศัตรูไว้ในบ้านเมือง ราษฎรและบ้านเมืองทรสถานได้ความทุกข์ยากลำบาก
ในตำราพิชัยสงครามจะมีเรื่องเกี่ยวกับวิชาโหราศาสตร์แทรกอยู่และดูเหมือนจะ มิอิธิพลอย่างยิ่งในการพิชัยสงคราม ดังนั้นจึงต้องมีโหราจารย์ประจำกองทัพเปรียบประดุจดวงตาของกองทัพโดยกำหนด ว่า ผู้ที่ทำหน้าที่ต้องมีดวงชะตาให้คุณแก่พระมหากษัตริย์หรือประมุขของประเทศ นอกจากนั้นการคัดเลือกทหารเข้าประจำในกองทัพต้องนำชื่อของคนเหล่านั้นมาคำ นวนทางมหาทักษาพยากรณ์ซึ่งเป็นวิชาโหราศาสตร์แขนงหนึ่งเพื่อหาตัวเลขมาใช้ เป็นชื่อ เช่น เลข 1 ชื่อครุฑนาม เลข 2 ชื่อพยัคนาม เป็นต้น แล้วจึงให้ผู้มีนามต่างๆ เหล่านั้นเข้าประจำตำแหน่งของกระบวนทัพ
ถ้าฝ่ายข้าศึกเป็นมุสินาม ให้ใช้ขุนพลที่มีชื่พยัคนามออกสู้รบ ถ้านามฝ่ายข้าศึกเป็นสุนัขนามให้ใช้ขุนพลสีนามออกต่อสู้ ถ้าข้าศึกเป็นอชนามให้ใช้คชนามออกต่อสู้ เมื่อจัดการดังนี้แล้วก็จะได้ชัยชนะ และเมื่อจะเคลื่อนทัพไปหนใดก็ต้องกำหนดเวลา ่เชื่อว่้าดีที่สุดเป็นชัยมงคลแก่กองทัพ หรือที่เรียกว่า ฤกษ์พิชัยสงคราม ซึ่งโหราจารย์ประจำกองทัพจะเป็นผู้หาฤกษ์ให้ โดยเชื่อกันว่าฤกษ์เคลื่อนทัพมีอิทธิพลที่จะช่วยส่งเสริมให้มีชัยชนะหรือ ปราชัยแก่ข้าศึก และยังมีพระราชพิธีตัดไม้ข่มนามประกอบฤกษ์ด้วย
การจัดการกองทัพและการเคลื่อนทัพในตำราพิชัยสงครามระบุได้ชัดเจนว่า กระบวนพยุหยาตราทัพต้องประกอบด้วย ริ้วขบวน ขนาบ ขนาน ของเหล่าทหารตามลำดับ เพรียบพร้อมด้วยระเบียบวินัยอันดียิ่ง มีแสนยานุภาพเข้าทำศึก มียุทธานุภาพอันเกรียงไกร มีเสบียงอาหารส่งกำลังบำรุงเสริมพลังรบอย่างพร้อมเพรียง ดั่งคำประพันธ์ที่ปรากำอยู่ในหนังสือสมุดไทยเรื่องตำราพิชัยสงครามเขียนไว้ ว่า
" จัดแจงแต่งพยู่ห์โยธา พลช้างพลม้า อีกพลรบครบครันจัดทหารชาญเข้มแขงขยัน เร่งรัดเลือกสัน ผู้ไวผู่แว่นแก่นการเกนไว้ให้เสรจ์โดยวาร สำเนียงเสียงสาร ให้รู้การศึกทุกอัน ปืนใหญ่หน้าไม้เกาทัน ใหญ่น้อยจงสัน ให้เลือกแต่ล้วนหย่างดี แหลนหลาวทวนง้าวตาวจรี กันถัศหัดถี ทังไล่แลหนีวชาญฯ..."
ในการจัดกองทัพนั้นต้องมีกำลังศึก ๘ ประการได้แก่
หัวศึกคือแม่ทัพ ,มือศึกคือกองหัวป่า ,ตีนศึกคือช้างม้า ,ตาศึกคือโหราจารย์ ,หูศึกคือกองสอดแนม ,ปากศึกคือทูต ,เขี้ยวศึกคือทหาร ,กำลังศึกคือไพร่พล
การดำเนินศึก
ผู้เป็นแม่ทัพต้องรอบรู้กลศึก หรือวิธีเคลื่อนทัพเพื่อลวงข้าศึกในรูปแบบต่างๆ เช่น เมื่อมีความประสงค์จะเข้าโจมตี ก็แสดงให้เห็นเหมือนไม่มีเจตนาที่จะทำเช่นนั้น หรือยั่วอารมณืให้ข้าศึกรู้สึกโกรธบ้าง เมื่อเห็นว่าข้าศึกมีกำลังเข้มแข็งก็หลีดเลี่ยงเปลี่ยนเป็นลอบเข้าโจมตีให้ เกิดการระส่ำระส่ายก่อน และเข้าโจมตีเมื่อข้าศึกมีกำลังอ่อนลง หรือถ้าข้าศึกพักรบก็คอยรังควานให้รำคาญใจ ดำเนินให้กองทัพแตกความสามัคคี เพื่อกำลังทัพจะได้ไม่เข้มแข็ง เป็นต้น
เหล่านี้ในตำราพิชัยสงครามกำหนดไว้ ๒๑ ประการคือ กลฤทธิ กลสีหจักร กลหลักซ่อนเงื่อน กลเถื่อนจำบัง กลพังภูเขา กลม้ากินสวน กลพวนเรือโยง กลโพงน้ำบ่อ กลพ่อช้างป่า กลฟ้างำดิน กลอินทพิมาน กลผลานศตรู กลชูพิสแสลง กลแข็งให้อ่อน กลย้อนภูเขาหรือพังภูเขา กลเย้าให้ยอม กลจอมปราสาท กลราชปัญญา กลฟ้าสนั่นเสียง กลเรียงหลักยืน และกลปืนพระราม...
ในระหว่างเคลื่อนทัพ ชัยภูมิที่ตั้งกองทัพต้องพิจารณาให้รอบคอบ ตัวอย่างเช่น ภูมิประเทศเป็นแม่นำ้ ลำธาร ห้วย หนอง การจะตั้งกองทัพให้ไว้ช้างอยู่ข้างในไว้ม้าและพลเดินเท้าชั้นนอก แล้วให้ขุดคูทำเป็นกำแพงรอบให้มีหอรบบนกำแพง เป็นต้น ส่วนแบบแผนกระบวนทัพ ต้องจัดแต่พหุยาตราทัพเป็นรูปต่างๆ เช่น แต่งเป็นรูปปราสาทพยูห์ คือเคลื่อนทัพเป็นกระบวนริ้วปราสาท แต่งเป็นรูปจังโกทะกะพยูห์ คือเคลื่อนทัพเป็นริ้วขบวนรูปกระถางดอกไม้ เป็นต้น
การดำเนินศึกตามหลักวิชากลยุทธิ์โบราณในตำราพิชัยสงครามกล่าวไว้หลายประการ ตัวอย่างเช่น ดำเนินดุจหงส์บิน ให้กองทัพหลวงและพลช้างเดินทัพไปก่อน แล้วให้ จตุรงค์พลทั้งสี่ แยกออกเป็นสองส่่วน ยกตามไไปเป็นซ้าย ขวาแล้วให้ทัพหลวงเฉวียนฉวัด หกคืนตาม
ยุทธวิธีดำเนินศึกอีกประการหนึ่งคือการจัดกระบวนทัพเพื่อการตั้งรับและเข้า ตีขณะประจัญหน้ากันกอปรด้วยแสนยานุภาพอันมีเปรียบเสียเปรียบเช่น จัดรูปทัพรูปสีหนามพยูห์ เป็นการตั้งรับรูปสิงห์ในอิริยาบถก้าวเดิน ใช้สำหรับการตั้งทัพในพื้นที่อันมีชัยภูมิประกอบด้วยป่าชายเขาดงใหญ่ โดยกำหนดให้ทัพหน้าอยู่ที่คอสิงห์ ทัพหลวงอยู่ที่ท้องสิงห์ ทัพหลังอยู่ที่หางสิงห์ และมีกองแซงล้อมรอบอยู่ ๔ ทิศ จัดทัพรูปปทุมพยูห์ เป็นการตั้งทัพรูปดอกบัว ใช้ได้ทั้งตั้งทัพและเดินทัพ ในพื้นที่อันมีชัยภูมิอันเป็นที่ราบกลางทุ่งโล่ง และถ้าจัดทัพตั้งรับรูปปมธุกพยูห์มีรูปดั่งรวงผึ้งย้อย ให้จัดพลรบเข้าตีด้วย ธนุกะพยูห์ มีรูปดั่งคันธนูเป็นต้น
ตำราพิชัยสงครามที่มีฉบับในปัจจุบันถึงแม้จะไม่ให้รายละเอียดเชิงปฎิบัต ิอย่างชัดเจนแต่ก็จัดว่าเป็นเอกสารโบราณที่มีคุณค่ายิ่งในประวัติศาสตร์ของชาติไทยเพื่อชนพื้นหลังได้ศึกษาเป็นพื้ฐานทางการรบ
อีกประการหนึ่งชื่อของแม่ทัพนายกองผู้ทำหน้าที่คุมกองทัพนั้นต้องมีชื่อที่ ข่มฝ่ายข้าศึกด้วย เช่น ชื่อของนายทัพหรือขุนพลของกองทัพฝ่ายข้าศึกเป็นนาคนาม ให้ใช้ขุนพลที่มีชื่อเป็นครุฑนามออกต่อสู้ จะได้ชัยชนะ
การนับโมงยามแบบโบราณ
การแบ่งเวลาในสมัยโบราณนั้นแบ่งเวลากลางคืนออกเป็น ๔ ยาม กลางวัน ๔ ยาม
การนับโมงยามแบบโบราณ มีดังนี้
ปฐมยาม จากยามค่ำคืนไปถึง ๓ ทุ่ม (๑๘.๐๐-๒๑.๐๐ น.)
ทุติยาม จาก ๓ ทุ่ม ไปจนถึง ๖ ทุ่ม (๒๑.๐๐-๒๔.๐๐ น.)
ตติยาม จาก ๖ ทุ่ม ไปจนถึง ๙ ทุ่ม (๒๔.๐๐-๐๓.๐๐ น.)
ปัจฉิมยาม จาก ๙ ทุ่ม ไปจนถึงย่ำรุ่ง (๐๓.๐๐-๐๗.๐๐ น.)
ประเพณีและพิธีกรรมความเชื่อต่างๆที่เกี่ยวข้องกับพิไชยสงครามของไทย
โขลนทวาร
พิธีไสยศาสตร์บำรุงขวัญทหารก่อนที่จะออกสงคราม ทำเป็นประตูป่า ซุ้มประตูประดับด้วยกิ่งไม้สดๆให้ทหารในกองทัพลอด มีพราหมณ์คู่หนึ่งนั่งบนร้านสูงสองข้างประตู ทำพิธีสวดพระเวท ประพรมน้ำมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่กองทัพ พิธีนี้ต่อมาได้มีพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาเข้ามาด้วย โดยพระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถาสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าชนะมารแล้วประพรมน้ำมนต์แก่ ทหารที่ลอดซุ้มประตูเมื่อเสร็จศึกสงครามแล้ว ต้องผ่านโขลนทวารอีก กันเสนียดจัญไร แก้กันภูตผีปีศาจที่อาจติดตามมาจากสนามรบเป็นพิธีการที่บำรุงขวัญทหารผ่าน ศึกไม่ให้เสียขวัญจากการสงครามนั่นเอง
ตัดไม้ข่มนาม
เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งเมื่อจะยกกองทัพออกทำสงคราม โดยตั้งเป็นโรงพิธีขึ้น
เอาดินจากใต้สะพาน ดินท่าน้ำ ดินในป่าช้า อย่างละ ๓ แห่ง มาผสมปั้นเป็นรูปข้าศึก แล้วเขียนชื่อแม่ทัพข้าศึก ลงยันต์พุทธจักร บรรลัยจักร ทับลงบนชื่อนั้น แต่งตัวให้หุ่นดังกล่าวเป็นตามเพศภาษาข้าศึก เอาต้นกล้วยและไม้มีชื่อร่วมตัวอักษรเดียวกับชื่อของข้าศึกผู้เป็นแม่ทัพมา ปลุกเสกในโรงพิธีแล้วเอาหุ่นผูกติดกับต้นกล้วย เอาไม้นั้นประกบกันเข้าพราหมณ์อ่านพระเวทเมื่อได้ฤกษ์แล้วพระมหากษัตริย์จะ มีพระบรมราชโองการให้ขุนพลทหารคนใดคนหนึ่งทำพิธีแทน โดยพระราชทาน พระธำมรงค์เนาวรัตน์ และพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ให้ขุนพลจะใช้ดาบอาญาสิทธิ์ฟันไม้นั้นให้ขาดใน ๓ ที แล้วกลับเข้าไปบังคมทูลว่าได้ปราบข้าศึกมีชัยชนะตามพระราชโองการแล้วพร้อม ถวายพระแสงดาบอาญาสิทธิ์และพระธำมรงค์คืน
เคลื่อนพลตามเกล็ดนาค
เป็นการเคลื่อนทัพตามตำราพิชัยสงครามซึ่งบอกไว้ว่าวันใดหัวนาคจะหันไปทางทิศ ใดในการยกกองทัพนั้น จะต้องเดินทัพไปทางทิศเหนือเดียวกับทิศทางที่หัวนาคเดินไปจะเป็นสิริมงคลแก่ กองทัพ
ละว้าเซ่นไก่
เป็นพิธีบวงสรวงเจ้าป่า เจ้าเขา เทวดา เพื่อเป็นสิริมงคลแก่กองทัพ โดยผู้ทำพิธีจะตั้งเครื่องสังเวยบวงสรวงขอให้ทำการสำเร็จสมปรารถนา แล้วเสี่ยงทายโดยถอดกระดูกไก่เครื่องเซ่นตัวหนึ่งมาดูถ้ากระดูกยาวมีข้อถี่ ถือว่าเป็นนิมิตดี เป็นประเพณีเดิมของชาวละว้า อาจได้รับมาจากอินเดียก็ได้
สวัสดิมงคล
ตำราพิชัยสงครามของไทย...บอกลักษณะมีชัย ไว้สิบประการ แต่คัดลอกต่อๆกันมา จึงเหลือเพียง 8 ประการ คิดอ่านดี วางแผนดี ฤกษ์พานาทีดี ช้างม้ากล้าหาญดี ไม่ขาดอาหาร ไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บ ประกอบพิธีอันถูกต้อง การลักลอบเข้าเผาเมืองมีชัยชนะ...
เหตุที่ทำให้ปราชัย...ตำราก็บอกว่า...มีสิบประการเช่นกัน
อำมาตย์เสนาบดีหมองใจกัน ทหารขัดกัน จอมทัพและเสนาบดีมิได้ปลงใจอันเดียวกัน
ช้างม้ามิได้ฝึกปรือดี ขาดอาหารและอดอยาก มีโรคภัย ไพร่พลทะเลาะกัน โหรให้ฤกษ์ฟั่นเฟือน
ประการสุดท้าย...ถูกฝ่ายข้าศึกฝังอาถรรพณ์ อาคม
อาจารย์พลูหลวง เขียนไว้ในหนังสือ 7ความเชื่อของไทยว่า ตำราพิชัยสงครามไทย
รวบรวมมาจากสารพัดตำรา โหราศาสตร์ ยกเมฆ ทักษาพยากรณ์ อภิไธยโพธิบาทว์
สุริยยาตร์ เวทมนตร์คาถา
ตำราสวัสดิมงคล...ก็ถูกใส่ไว้ในตำราพิชัยสงคราม ตัวอย่างดังต่อไปนี้
อนึ่ง ถ้าจะไปรณรงค์สงคราม ห้ามลูกเมียข้าคนอื่นซึ่งอยู่ ภายหลัง อย่าตีหม้อข้าวหม้อแกงบนเรือน อย่าตบตีคนบนเรือน ให้เลือดตกทับเรือน อย่าให้ตบมือเล่นเต้นรำให้จงได้
ถ้าจะไปสงคราม ให้อาบน้ำก่อนค่อยไป เมื่อจะนอนทุกครั้งให้ล้างเท้าเสียก่อน
ถ้าจะตัดผมตัดเล็บมือเล็บเท้า ให้ตัดวันจันทร์ พุธ ศุกร์ เสาร์ ถ้าจะสระผมให้สระวันอังคาร เสาร์ถ้าจะเรียนวิชาให้เรียนวันพฤหัส
อนึ่ง ห้ามอย่าเอาผ้านุ่งเช็ดหน้า อย่าล้างหน้าด้วยกระบวยกะลา ให้ล้างหน้าด้วยขัน
อย่าฆ่าสัตว์ที่ต้องปีเกิด จะเป็นการถอยอายุ
การเอาผ้านุ่งเช็ดหน้า ถือกันมากว่าเป็นอัปมงคล ด้วยผ้านุ่งเป็นของต่ำ จะทำให้สง่าราศีเสีย
เรื่องอัปมงคลนี้โบราณถือกันมาก เช่น จะกินหมากเมื่อหยิบใบพลูจะป้ายปูนต้องเด็ดปลายทิ้งเสียก่อน ถือว่าปลายเป็นหางของใบพลู เมื่อจะเก็บผักตำลึงมาแกงก็ต้องเด็ดตีนทิ้ง
โบราณถือว่าจะทำให้คาถาเสื่อม
ส่วนกระบวยกะลานั้นถือว่าเป็นของต่ำคนโบราณมักใช้ กระบวยตักน้ำกิน และกระบวยตักน้ำล้างเท้า ไม่นิยมใช้กระบวยตักน้ำล้างหน้า
ความเชื่อนี้ ทำให้ทหารที่ไปสงคราม จะต้องมีขันโลหะเล็กๆติดตัวไปใช้ตักน้ำกินและล้างหน้าเมื่อจะถ่ายมูลหนักมูล เบา ให้หันหน้าไปประจิมและอุดรจึงจะดี อย่าถ่มน้ำลายลงที่อาจม ถ้าถ่มที่นั่น จะเจรจาหาสง่ามิได้
ครั้นถ่ายทุกข์แล้วให้อาบน้ำเสีย ถ้าหาน้ำอาบมิได้ ให้ล้างหน้าลูบหน้าเสีย
ถ้าจะอาบน้ำในคลองและห้วยธาร ห้ามถ่ายมูลหนักเบาลงในน้ำ
ถ้าตัวอยู่บนบก บนเรือน บนไม้ ถ่ายมูลหนักเบา ลงในน้ำได้แล..
วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555
มหัศจรรย์แห่งชีวิต... หลักคิดจากท่าน ว.วชิรเมธี
๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน?
ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ
๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี?
(๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(๔) ขออย่าให้ตายในสงคราม ระหว่างคนไทยด้วยกันเอง
๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข
๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน
๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง
๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?
(๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
(๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
(๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ
ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา
๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้
๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี?
(๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
(๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
(๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ
๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา
๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี?
(๑) หางานใหม่
(๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
(๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
(๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด
จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่
๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย
๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
แทนที่จะไถ่โคกระบือ
คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า
๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน
๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?
มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน
ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ
๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?
(๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
(๒) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร
(๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง
๑๖. สวดมนต์บทไหนดี?
(๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
(๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า
จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้
คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง
๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี?
(๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
(๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
(๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส
เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด
๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก?
(๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
(๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน
๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน
๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน
การศึกษาไทย จากใจเด็ก
ผมไม่ได้เก็บกดฮะ ผมคิดในแนวอิสระ แนวทางความคิดแบบเสรีครับ ใครมาว่าผมเก็บกดหรือเปล่าก็เรื่องของคุณครับ
ผมจบแล้วครับ
บางคนอาจจะคิดว่า ทำไมคนเขียน มันเอาแต่บ่นๆ ว่าๆ การศึกษาไทยจังเลยวะ! เป็นเควี่ยอะไรหรือเปล่า? งั้นถามหน่อยครับ มีคนไหนมันจะมาลงบทความ ข้อดี ของการศึกษาไทยมั่งครับ ไม่งั้นป่านนี้ สภา ในไทยคงคุยกันแต่ความดีของตัวเองแล้วล่ะครับ!! แล้วช่วยรวมตัวกันหาทางแก้หรือ? ลองอ่านที่ผมเขียนหน่อยนะครับ ที่ว่า ดร. ชื่อดังเคยออกมาแย้งแล้ว เด็กไทย เคยออกมาแย้งแล้ว และอีกมากมายที่ พวกเราลืมกันไปหมดแล้ว แล้วยังไงครับ? อดแดรกครับ เหมือนเดิมครับ! ขำ อุนจิแตกครับ lol
ทำไมเด็กไทยเบื่อเรียนในประเทศตัวเอง (จากข้อคิดและความจริง)
ถ้าจะอ่าน ขอให้อ่านให้จบครับ ถ้าอ่านไม่จบไม่ต้องอ่านเลยครับ
-ครูปัญญานิ่ม เร่งงาน เร่งสอบ เร่งมันทุกเรื่อง
-ครูปากหมา และ ปากมากโคตรๆ บ่นมันทั้งคาบ พอเจอสอบเด็กทำไม่เป็นเซ็งจิตไปจนวันตาย
-งานเยอะ ไทยติดอันดับการเรียนยอดแย่ เพราะ งาน โครงงาน การบ้าน รายงาน โปรเจค เยอะโคตรๆ
-เรียนหนักเว่อร์ ต่างชาติ 3 วันเรียน 2 วันออกกำลังกาย (เฉลี่ย / ไม่ใช่เล่นรักบี้ทั้งวัน) ไทย 5 วันเรียน 2 วันเรียนพิเศษ // ต่างชาติ เข้ามหาลัยไหนก็ได้ ข้อสอบวัด EQ ไม่เน้น IQ เพราะ ไปเรียน IQ ในมหาลัย ไทย เข้ามหายลัยดังๆเท่านั้น วัดแม่งแต่ IQ ข้อสอบวัด EQออกแมาแบบ ปัญญาอ่อนโคตรๆๆๆ หัวโบราณรุ่นพระเจ้าเหาออกข้อสอบด้วยตัวเอง ขนาดเหามันยังทำไม่ได้
-เรียน 5 วัน วิชา พละ ...มีคาบเดียว (บางโรงเรียนอาจมี 2 คาบ ) อันนี้ส่วนใหญ่ทุก รร. เด็กก็ " เครียดโว้ย" ไปตามเคย
คอมพิวเตอร์ ก็ ... มีคาบเดียวอีกเหมือนกัน (บางโรงเรียนอาจมี 2 คาบ )
(นี่คือเหตุผลที่ทำให้ เด็กไทยตัวเล็ก (เฉลี่ย) ลงทุกวี่ทุกวัน
- แบ่งระดับ แบ่งชนชั้น แบ่งความฉลาด ความหล่อ ความสวย ETC แบ่งกันอยู่นั่น เด็กเก่งแมร่งได้อยู่แต่ห้อง King กับเพื่อนสุดเก่งทั้งห้อง ห้อง ขี้ลิง เด็กกากก็อยู่กับกาก ยังงี้ใครมันจะไปเก่งขึ้นวะ / / (เรื่องจริง) ต่างชาติคละรวม สมมติ มี นร. 40 คน (มาตรฐานไม่เคยเกิน 45คน เกือบทุก รร. USA) 10 คน ฉลาดโพดๆ 20 คน ฉลาดแบบปานกลาง 10 คนโง่ขั้นเทพเรียกพ่อ ถ้านักเรียนสอบตก อาจารย์สอนโดนหักเงินเดือน + ห้องโดนตัดคะแนนทั้งห้อง (แย่โพดๆ) ดังนั้นมันจึงรวมหัวกันอ่านหนังสือ+วางแผนโกงข้อสอบขั้นเทพ
-ครูใหม่โดนตำหนิ โดนอิจฉา โดนบังคับสอนห้องบ๊วย ไปหาดูได้เลย ครูใหม่ส่วนใหญ่โดนด่าก่อนใคร ไม่รู้เป็นห่านอะไร ครูหน้าย่นทำผิดเหมือนกัน ไม่โดนดด่า ครูใหม่ทำไรหน่อยโดนกดดัน โดนแบน โดนด่า โดนตัดเงินเดือน อย่างงี้ใครจะไปมี อารมณ์สอนเด็กวะ หน้าตาดีเกินไปยังโดนด่า ไม่รู้ห่านอะไรนักหนา
-ออกกฎหมายขั้นเทพ เด็กไทยต้องหัวเกรียน! ไม่รู้เควี่ยอะไรนักหนา หัวเกรียน+เขียว มันจะฉลาดขึ้นเหรอ ควายผมยังยาวกว่ากรูอีกไอ้ห่าน / / เคยมี นายแพทย์ และ นักวิชาการ หัวใหม่จาก ทั้งในแนะนอก ยื่นคำร้องต่อ กระทรวงศึกษาธิกรรมกร ว่า ทำไมจึงต้องให้ เด็กไทยหัวเกรียน (ไม่นับ ร.ด.)
-เขากล่าวว่า นี่เป็นการ ก้าวก่ายสิทธิอันพึงได้ของมนุษย์ ว่าด้วยการใช้ อำนาจและกฎเกณฑ์ เข้าข่มเหง (ซึ่งมันเป็นเรื่องจริง ตามรัฐธรรมนูญทุกสมัย+กฎหมายโลก) นักวิชาการร่ายมาเป็นข้อๆอย่างมีหลักการ ทำเอาเด็กไทยเกือบจะดีใจว่า กูรอดแล้ว แต่! กระทรวงกรรมกรแห่งชาติออกมาตอบกลับง่ายๆว่า " สั้น ง่าย สะดวก สะอาด " (<<--โคตรเกย์!) นักวิชาการระดับ ป. เอก ถึงกับ อึ้ง อุนจิแตกทันที นี่น่ะเหรอ คนที่มีความรู้เขาพูดกัน ไอ้ห่าน
พักก่อน เดี๋ยวตาลาย ลายตา
-แจกชีท รร. ไทยไม่รู้ จะปล่อย นอะไรนักหนา ชอบ ซีรอคชีท เครื่อง ซีรอคนี่ขายดิบขายดีในไทยจริงๆ มีอะไร ซีรอค เอาครับ ไม่พอ ใช้กระดาษ รีไซเคิล อีก ซากๆ กากๆ คากๆ ถุยๆ เรียนเสร็จเอาไปเช็ดตรูดสบายใจเฉิบกันเลยทีเดียว ไอเราก็ไม่เข้าใจ แทนที่จะ ทำเป็นเล่ม + กระดาษขาว แล้วขายให้เด็กทีเดียว จะได้เก็บเป็นที่เป็นทาง ดันมาเก็บทีละ 5 บาท 10 บาท แล้วบอกรอรวมแล้วเย็บเล่ม ไอ้ห่าน! ทำหายหน้าเดียว อาจารย์ แมร่งไม่รับตรวจไอเควี่ยเอ๊ย !
- ลอกการบ้าน จากหัวข้อแรกๆ การบ้าน งานเงิน เยอะเว่อร์ๆๆๆๆๆ+++ๆๆๆๆ สุดท้าย กูทำไม่ไหว (ไม่ใช่ทำไม่ได้นะ) ขอลอกดีกว่า สมัยนี้มีจัดตั้งชมรม ลอกการบ้านกันตรึมสนั่น FaceBook Google+ Twitter ทำงานกันเป็นส่วน ใครทำหน้าไหน ทำวิชาอะไร สุดท้ายสแกนลงคอม แจกจ่ายยังกับถุงยังชีพช่วยน้ำท่วม ไม่ใช่ห้องเดียวด้วย! แมร่งลอกกันทั้ง รร.!
-เนื้อหาเรียนเยอะชิ(บ)หาย ทั้งประวัติศาสตร์ ทั้งไทยทั้งต่างประเทศ บาง รร.มันยังมี นอกโลกอีกตั่งหาก สุดท้ายเรียนจบแต่ตรูยังจำชื่อ เมืองหลวง ประเทศตัวเองไม่ได้ โทษการจัดระบบและเรียงเนื้อหาของไทย (บางอย่างควรไปเรียนใน มหาลัย แทน)
-รายงาน กระดาษปริ้นมหาประลัย นี่เลยครับพี่น้องชนชาติชาวไทยและต่างประเทศ ไอที่โลกร้อนไม่ใช่อะไร รายงานประเทศไทยครับ มันปริ้นกันเป็นว่าเล่น มีอะไรคิดไม่ออก รายงาน! คิดไม่ออกอีกทีสั่งรายงาน! 10 หน้า 15 หน้า ไม่ใช่!ครับ มันล่อไป โน่น
40-100 หน้า สุดท้ายเป็นยังไง? อ่านไหม? ไม่อ่านครับ ใครมันจะไปมีพลังซูเปอร์ไซย่ามากขนาดนั้น / /
-สมมุตินะสมุติ ถ้า... รายงาน 20 หน้า / นักเรียนห้องนึง( 40 คน ) / 1 ห้องเป็นเท่าไหร่? 800 หน้าครับ ชั้นนึงมีกี่ห้องครับ ตีให้ครับ ให้ 5 ห้องพอครับ 5*800 ครับ เท่าไหร่ครับ = 4000 หน้าครับ เบจิต้ากับโงกุนร่วมร่างกันมันยังอ่านไม่หมดเลยครับ สุดท้ายทำไง? นับหน้าครับ+ความสวยงามของปกครับ แค่นี้แหละครับ ใครขาวดำ(ลดโลกร้อน) ได้ C- ครับ ใครชอบผลาญทรัพยากร (หน้าปกสีสดเว่อร์) เอาไปเลย A+++++++ ครับ ตอนจบทำไงครับ โยนเข้ากองครับ สุดท้ายเอาไปทิ้ง ไม่ก็เอาไปเผาผลาญ+พับกระดาษ+ทำสแตนท์เชียร์ครับ หมึกที่เสียไปล่ะครับ เอาไปรวมกันนี่ยิ่งกว่า 2012 น้ำท่วมโลกครับ
-เพิ่มให้ครับ เรื่อง ของการเข้าแถวครับ (จาก คอมเม้นนะครับ ขอบคุณมากครับ) ใช่เลยครับ รร. ในไทยนั้น ต้องการให้เด็กไทยเข้าแถวครับ ส่วนใญ่จะเป็นเฉพาะ รร. รัฐบาลครับ ไม่รู้เป็นอะไรต้องให้เด็ก เข้าแถวตากแดด ตากผน ตากลม ขี้ฝุ่น แบคทีเกรียน* ต่างๆนาๆ ว่ากันว่า เพื่อให้มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน สามัคคีกัน รักชาติ ศาส กษัตริย์ ครับ อันนี้ขอแย้งครับ เด็กเอกชน เขายังรัก ในหลวง รักชาติ รักศาสนามากกว่า เด็กรัฐบาลเลยนะครับ คงเพราะ สบายกว่า (lol) เห็นเข้าแถวมันยังโดดต่อยกันสนุกสนานเลยครับ บ้างก็เล่นมือถือ บ้างก็คุยไฟแล่บ บางคนมันยังคุยกับอาจารย์เฝ้าแถวเลย นอกนั้นก็ทนฟัง ผอ. อาจารย์ร็อคหน้าย่น มาบ่นทุกวี่ทุกวันครับ เสร็จแล้วกลับห้องครับ ถามหน่อย? ได้ฟังไหม? คำตอบคือ ไม่ ครับ อะไร!?มันบ่นอะไรไม่รู้ครับ
-ต่อจากข้อก่อนหน้านี้ครับ อาจารย์โคตร 2 มาตรฐานชาวไทยเลยครับ เด็กตากแดด เห็นเด็กบางคนไปแอบนั่งหลบแดด (กำลังจะตาย) บ่นใหญ่เลย ไม่มีความอดทน ลูกผู้ชาย ลูกผู้หญิง ไหม เสร็จแล้วยังไง? สั่งลงโทษให้ยืนครับ คิดว่าจะให้เด็กหน้าแตกครับ ไม่ใช่เลยครับ เด็กคนอื่นมันจะขึ้นมาโดด Side Kick หน้าอาจารย์อยู่แล้วครับ เพราะอะไรน่ะเหรอครับ? ไอตอนบ่นพี่แก ยืนอยู่ไหนครับ? ยืนใต้ต้นไม้ครับ! แล้ว...บ่นทำเหาอะไรครับ แน่จริงมานั่งกับตรูสิครับ
-จดงาน จดหนังสือ จดลายแทง จดแมร่งทุกอย่างครับ อาจารย์หลายๆท่านสมัยนี้ หิ้ว Notebook ไปมา เสียบสายต่อจอ แล้วสอนครับ เนื้อหามาจากไหนรู้ไหมครับ? มาจากหนังสือครับ! แล้วยังไงครับ นักเรียนมีไหมครับ? คำตอบคือ มีทุกคนครับ! แล้วยังไงต่อครับ? พี่แก สั่งให้จดครับ! งงดิครับ แล้วกระผมจะมีตำราไปทำเป็นโล่พระแสงอะไรครับ! ให้จดไม่ใช้เน้นที่สำคัญนะครับ! จดแม่งเกือบทั้งเล่มครับ ให้ ห่านฟ้าร้อง กุ๊กๆ ได้ มันถึงจะจบเล่มครับพี่น้อง! แล้วไงต่อครับ? ไม่จด จดไม่ทันทำไงครับ? ไม่สนใจครับ ด่าอีกต่างหาก จดช้าจังวะ พ่อเป็นหอยทากเหรอ แค่นี้เมื่อยเหรอ? นี่ครับคนเราเสียดสีกันลงคอครับ พ่อง!คุณเหรอครับ มือเป็นตอร์ปิโด จดทันที่พูด! พอถามให้จดทำไม? ตอบกลับมาครับ! จะได้ให้จำครับ! โหมันกล้านะครับ กรูยังไม่มีเวลาประมวลผลเลยคุณ...ร่ายต่อเลยครับ! แล้วจะไปเจริญได้ยังไงครับทีนี้!
หมดล่ะครับ คิดไม่ออกนี่จากใจจริงเลยครับพี่น้อง พอดีเห็นการศึกษาไทยแล้วปวดตับครับ ไม่ไหวแล้วครับ เป็นตัวแทนของเด็กไทยหัวเกรียนๆทั้งหลายครับ (แต่จบระดับหัวเกรียนแล้วครับ)
http://www.ichat.in.th ขอขอบคุณ
1.โรงเรียนรัฐบาล เรียนหนัก วันละ 7-8 คาบ
2.เมื่อมีคาบว่าง คุณครูวิชาใดวิชาหนึ่ง มักขอ
3.รร.เอกชน เด็กนักเรียนไม่เคร่งกฏ
4.รร.ที่เก่าแก่ ยึดติดศักดิ์ศรีมากเกินไป บ่มเพาะให้เด็กเป็นศัตรูกับสถาบันอื่น
5.รร.รัฐบาล เข้าแถวหน้าเสาธง ฟัง ผอ.ให้โอวาทก่อนเข้าคาบแรกแต่กิน เวลาไป 10-20 นาที
6.เด็กต้องตากแดด ร้อน หน้ามืดเป็นลม
7.บาง รร. ผิดกฏนิดหน่อย ก็เรียกผู้ปกครอง ทั้งๆที่ควรจะตักเตือนก่อน
8.เด็กไทยขนหนังสือในกระเป๋าเป็นสิบกิโล หลังงอไปโรงเรียน (รวมทั้งนิยายและการ์ตูน หนังสือโป๊)
9.การบ้าน งานต่างๆ ฝึกให้นักเรียนรับผิดชอบก็จริง แต่สั่งทีเยอะ แล้ววันนึงเรียนกี่วิชา ครูคนนึงสั่งกี่อย่าง? เด็กตายห่-า พอดี
10.มา รร. เช้า ลอกการบ้าน แล้วเด็กได้อะไร จากการสั่งงานเยอะ
11.หลับตี 1-2 พิมพ์รายงานส่ง
12.เนื้อหารายงานมาจากอินเตอร์เน็ต หามา ก็อปใส่เวิด ปริ้น เข้าเล่ม ส่ง
13.พรีเซนต์งานโดยการออกมาอ่าน
14.ครูแก่ เกินรับได้ โบราณ
15.คนเก่งไปเรียนหมอ แล้วใครมาเป็นครู?
16.รร.ในไทย แต่งยูนิฟอร์ม ชุดนักเรีย ชุดพละ ชุดลูกเสือ ทั้งที่อากาศร้อนจัด
17.มีเด็กที่ไม่ได้เรียนหนังสือเยอะแยะ
18.มีเด็กที่ได้เรียน แต่ไม่อยากเรียน
19.พ่อแม่เสียเงินค่าเรียนพิเศษ มากว่า ค่าเทอม มากเป็นเท่าตัว
20.ต่างประเทศ ปิดเทอม ไปเที่ยว ทำงานพิเศษ ทำกิจกรรม
21.เด็กไทยเรียนพิเศษเป็นบ้าเป็นหลัง
22.มหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย ไม่ติดใน 100 มหาวิทยาลัยโลก
23. บาง รร.จ่ายค่าเรียนคอมพิวเตอร์ทุกปี แต่ว่า ได้เรียนแค่ ม.1และม.4 = =
24.ครูบางคน การสอนคือการอ่านให้เด็กฟัง
25.ครูบางคน สอนไม่รู้เรื่อง ออกข้อสอบหิน เด็กตก ไม่ยอมให้แก้
26.ครู ขายของแก่นักเรียน ทำธุรกิจ ทดลองสินค้าในห้องเรียน ตั้งแต่ของเล็กๆน้อยๆ ยันถึงกิฟฟารีน แอมเวย์
27.ครูไม่สอน นั่งบ่นเรื่องที่ไม่ในตำรา แต่นักเรียนชอบฟัง(เพราะไม่ได้เรียน)
28.เวลาว่างที่ รร. นร.นั่งนินทาครู
29.ปัจจุบัน ทั่วไปคิดว่า ครู แค่คือ คนที่รับจ้างสอน ไม่ใช่แม่พิมพ์ที่แท้จริง
30.สอนไป ทุก10 นาที โทรศัพท์ดัง
31.ครูใช้เด็กซื้อกับข้าว ซื้อโอเลี้ยง ซื้อส้มตำ
32.ครูสนใจ เด็กที่เรียนพิเศษด้วยมากกว่า
33.ช่องว่างระหว่างครูและเด็ก เยอะมาก เนื่องจากจำนวนเด็กในห้อง เฉลี่ย 50 ขึ้น ครูจำนักเรียนได้ไม่หมด ยิ่งครูแก่ๆก็
34.รร. นานาชาติ มีความผูกพัน กับครูที่สอน ทั้ง รร.รักกันดี
35.บางคนเกรด 4.00 สอบไม่ติดก็มี เพราะการศึกษาไทย เก็บคะแนนสอบแค่ 15-30% นอกนั้นงาน การบ้านที่สั่ง
36.ครูบางคนตั้งใจสอน แต่ไม่มีเทคนิค ทำให้เด็กเบื่อที่จะเรียน
37.ความรู้ที่ใช้สอบ มาจากที่เรียนพิเศษ
38.กวดวิชาแต่ละจังหวัดมากกว่า 50 แห่ง
39.ครูบางคนชอบโอ้อวดว่าจบที่นั่น เอกอย่างนี้ ได้เกียรตินิยม แต่สอนไม่รู้เรื่อง
40.เด็กในห้องมี 50 คน เก่งสุดๆแค่ 1-2 คน
41.นอกนั้น เรียนๆเล่นๆ เที่ยวๆ
42.เด็ก ม.3 สะกดคำว่า family house ศัพท์อังกฤษง่ายๆไม่ได้
43.โรงเรียน ประจบผู้ปกครองที่มีเงิน
44.โรงเรียนหญิงล้วน มีทอมดี้เยอะ โรงเรียนชายล้วน มีเกย์ ตุ๊ดเต็ม
45.ต่างประเทศ เรียนวันละ 3-5 ชม. หลังจากนั้นก็สนามบาส สระว่ายน้ำ ห้องดนตรี ไม่ก็กลับบ้าน ทำกิจกรรม ไปอ่านหนังสือเอง
46.ถ้าเด็กเรียนที่ไทย ก็ไปกวดวิชา เรียนเลิก3 -4 ทุ่ม
47.เด็กเที่ยวนั่งรถไฟฟ้าไปสยาม
48.เด็กใส่แว่นเนื่องจากเล่นคอม มากกว่าเรียน
49.ครูคาดหวังกับเด็กห้องคิงเกินไป ทำดีนิดหน่อย ชมเว่อร์ๆ ทำผิดนิดเดียว คือเรื่องคอขาดบาดตาย
50.เอาใจใส่เด็กแต่ละห้องไม่เท่ากัน
51.รร.รัฐ ให้เด็กทำป้าย เดินรณรงค์ยาเสพติด เลือกตั้ง ฯ ตามนโยบาย ทำเอาหน้าตา รร. เด็กต้องเดิน 2-3กิโล แดดก็ร้อน หน้ามืดเป็นลม
52.วิชาอาจารย์ฝรั่ง ดูเหมือนจะมีความสุข จะหลับก็ได้ คุยกันไป แต่ก็เรียนไม่รู้เรื่อง
53.เด็กไทยอวดฉลาด
54.เด็กไทยตามกระแส แฟชั่น
55.เด็กไทยบ้าเที่ยว บ้าเรียน บ้าใช้เงิน บ้าดารา
56.วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์เป็นธรรมดา
57.ท้อง แท้ง ฆ่าตัวตาย ใจแตก ติดยา คือ ปัญหาวัยรุ่นไทยที่แก้ไม่ได้
58.เด็กส่วนใหญ่ฝันมี รร.ที่กว้าง ต้นไม้ สบายๆ บรรยากาศดี การเรียน สนุกมีกิจกรรมทำ
59.ความฝันห่างไกลความจริง รร. อากาศร้อนไม่มีพัดลม เสียงรถที่ถนนดังห้องเรียนติดห้องน้ำ ครูสอนก็ดุ แก่ โหดคะแนน น่าเบื่อ ครูลามก
60.มีพ่อแม่ บังคับ อนาคตวาแผนให้ลูกเสร็จสรรพ โดยไม่ถามว่าลูกชอบหรือไม่
61.พ่อแม่ชอบกดดัน ซึ่งความจริงในยุคนี้ การเลี้ยงลูกแบบนี้ หัวโบราณมากเด็กไทย ฆ่าตัวตายเพราะเครียดเยอะขึ้นทุกปี
62.ไฮโซ ต้องให้ลูกเรียนเอกชน นานาชาติ รร.รัฐสุดโด่งดัง
63.ไปเรียนพิเศษต่างประเทศ ตอนปิดเทอม
64.รู้ไหม คนต่างชาติคิดว่า วัยรุ่นไทยที่รวย พ่อแม่ คุณทำงานใหญ่โต นักการเมือง นักธุรกิจส่งลุกมาใช้เงิน นั้น เค้าคิดว่า พ่อแม่คุณคอรัปชั่น และคุณทำตัวไร้สาระ
65.ประเทศไทยเป็นประเทศด้อยพัฒนา แต่เรียกตัวเองว่า กำลังพัฒนา
66.วัยรุ่น ไม่เคารพผู้ใหญ่ ด่าได้ก็ด่า ก็พ่อแม่ฉันยังไม่ว่า คุณเป็นใครมาว่า
67.แต่งตัว ใช้เงิน ซื้อของอวดกัน
68.ตบกันแย่งผู้หญิง ผู้ชาย ทอมดี้ เกย์
69.มีเพื่อนในชีวิตจริงและสังคมอินเตอร์เน็ต
70.เล่นเกมออนไลน์ เล่นmsn ทุกวัน หลับดึก
71.เที่ยวจัด จนบางวันไม่กลับบ้าน พรุ่งนี้มีสอบ เอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยน ที่ห้องน้ำ รร.แล้วเข้าสอบ ก็มี
72.พ่อแม่เลี้ยงลูกดีเกินไป แย่เกินไป โอ๋ลูกเกินไป ด่าลูกเกินไป เด็กเก็บกด
73.เด็กที่ไม่ได้รับการศึกษา มีคุณภาพชีวิตที่แย่ บางคนยอมขายตัวเพือเอาเงินมาเรียนก็มี
74.ครูแนะแนว ตือครูที่เด็กชอบมากที่สุด
75.เด็กไทย เกรด 4.00 เอ็นเข้าคณะอินเตอร์ไม่ติด เด็กนานาชาติไม่เก่งเท่าเด็กรัฐบาล แต่นั่งฝนข้อสอบฉลุย เมื่อจะเอ็นเข้าคณะอินเตอร์
76.ต่างประเทศ อเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เรียนน้อยกว่าไทย แต่ทำไมฉลาดกว่า มีคุณภาพกว่า?
77.เด็ก คืออนาคตของชาติ แต่มีตัวอย่างบุคคลชั้นนำของประเทศที่เห็นได้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่า...แค่ ไหน เป็นแบบนี้ คุณยังจะหวังอะไรกับเด็กไทยศตวรรษที่ 21 อย่างเราไหม
78.วัยรุ่นไทยไม่อยากรับรู้เรื่องข่าวสารของประเทศไทยที่มีแต่อะไรที่ชวนทำให้น่าเบื่อ เกิดการแอนตี้ ไม่อยากรู้
79.เด็กไทยไปโรงเรียน และ มหาวิทยาลัย จากการสำรวจแล้ว พบว่า ปัจจัยคือ เพื่อน เท่านั้น
80.โลกก้าวหน้าไปทุกวัน แต่การศึกษาไทย ยังอยู่กับที่
7 นิสัยผู้ชายเจ้าชู้ ดูไม่ยาก
1. ผู้ชายที่หลงตัวเอง จำพวกนาซิสซัส หรือ narcissism คนลักษณะนี้มักรักใครไม่เป็น ได้แต่ชอบโปรยเสน่ห์ไปเรื่อยๆ มีลักษณะแบบเด็กๆ ชอบที่จะถูกรักและได้รับการรุมล้อมจากเพศตรงข้าม เพื่อเป็นการตอกย้ำให้รู้สึกถึงความเจ้าเสน่ห์ที่มีอย่างเหลือเฟือ
2. ผู้ชายที่ขาดความมั่นใจในความเป็นชายของตัวเอง คน กลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะล่วงเข้าสู่วัยทอง จึงต้องการพิสูจน์ให้ใครๆ เห็นว่าเขายังแน่อยู่ แต่ลึกๆแล้วก็เพื่อปลอบใจและสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง มากกว่า
3. ผู้ชายขี้เบื่อ จำพวกรักง่ายหน่ายเร็ว อยากลองสิ่งใหม่ๆ ที่ท้าทาย ชีวิต ที่ผ่านมาอาจล่องลอย จนดูไร้ค่า น่าเบื่อ เลยต้องแสวงหาสิ่งที่คิดว่าจะมาเสริมค่าและเติมชีวิตให้มีสีสัน การจีบสาวได้สำเร็จ บ้างไม่สำเร็จบ้างเป็นสิ่งท้าทายให้ชีวิตมีรสชาติยิ่งขึ้น
4. ผู้ชายที่บูชาความสวยงาม เห็นผู้หญิงสวยๆ แล้วทนนิ่งเฉยไม่ได้ อย่างน้อยขอให้ได้ส่งสายตา โลมเลียมสักหน่อยก็ยังดี ถือเป็นความสุขใจอย่างหนึ่ง
5. ผู้ชายขี้ระแวง อาจ เกิดจากการเลี้ยงดู การเรียนรู้จากการอบรมพร่ำสอนจนฝังใจว่าหญิงใดก็ ตามที่ก้าวเข้ามาในชีวิตล้วนหวังในทรัพย์สินและสมบัติพัสถาน คนพวกนี้จึงพยายาม ตีกรอบใจของ ตัวเอง ไม่ให้ถลำรักใครจริงจัง เอาแค่คบเล่นๆ ฉาบฉวยไปเรื่อยๆเพราะในใจมัวแต่ตีตราผู้หญิงว่า “หน้าเงิน”
6. ผู้ชายที่เคยผ่านประสบการณ์ชอกช้ำมาก่อน เช่น แม่ทรยศพ่อ เลยลงมือแก้แค้นเพื่อหวังจะให้ เพศตรงข้ามเจ็บปวด ผู้หญิงทั้งหลายเลยกลายเป็นเหยื่อเพราะถูกมองเป็นเสมือนตัวแทนของแม่
7. ผู้ชายเจ้าเสน่ห์ จีบผู้หญิงทีไรสำเร็จทุกที การตอบสนองของผู้หญิง เลยกลายเป็นแรงเสริม เพิ่มความ เจ้าชู้ให้มากขึ้น
ผู้ชาย เจ้าชู้ที่มีคู่ควงมากมาย มักเป็นคน มีเสน่ห์ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ซึ่งล้วนเป็นบ่วงที่ยั่วยวนชวนใจให้ติด(กับ) และผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเจ้าชู้จนเป็นนิสัยนั้นมักแก้ยาก ยกเว้นเสียแต่ว่าเขาเต็มใจ ที่จะเปลี่ยนจากพ่อปลาไหล มาเป็นแมวนอนหวด เพราะสภาพการณ์บางอย่าง หรือเกิดความ ตระหนักรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีของชีวิต เลยพาลรู้สึกเหนื่อยหน่ายต่อรูป แบบการดำเนิน ชีวิตแบบเดิมๆ ไปเลย
คนมากมายคิดว่าการนอนหลับเป็นเรื่องเสียเวลาและความฝันก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ แต่ผู้ศึกษาวิชา dream analysis รู้ว่ามีกลไกทางจิตวิทยาที่ผลักดันชีวิตคนเราอยู่และมนุษยชาติถูกร้อยรัด เข้าด้วยกันกับ universal intelligence หรือภูมิปัญญาจักรวาล ส่วน ‘เสียงภายใน’ ที่มนุษย์รู้สึก เรียกว่า inner intelligence หรือภูมิปัญญาภายใน สองภูมิปัญญานี้สื่อสารสู่กันผ่านทางความฝัน ความผันจึงเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสะสางแก้ไขปัญหาชีวิตและช่วยพาเราไปสู่ self-growth การเติบโตของตัวเราเอง
ตลอดเวลาที่ฉันใช้หลักวิชาวิเคราะห์ความฝันในการช่วยคนรอบข้างตีความ message จากฝันเพื่อช่วยพวกเขาคลี่คลายปมปัญหาและนำทางชีวิตนั้น คำถามยอดอมตะที่ฉันโดนถามอยู่เสมอคือ ‘ฝันแบบไหนถึงจะรู้ว่าเรากำลังจะเจอความรัก’ และ ‘ฝันถึงงู เราจะเจอเนื้อคู่หรือเปล่า?’
คุณอย่ากลัวว่าจะเป็นคำถามปัญญาอ่อนเลยนะคะ ขอบอกเลยว่าในคลังวิชาการวิเคราะห์ความฝัน ทั้งแบบเก่าแก่โบราณ (Traditional dream analysis) ที่เน้น ‘ทำนายดวง (fortune-telling)’ กับแบบความฝันยุคใหม่ (Modern dream analysis) ของ 2 อภิปรมาจารย์ทางวิชาความฝัน คือ ท่านซิกมุนด์ ฟรอยด์ ที่เน้นกลไกทางจิตวิทยา (Psychological meanings) และคาร์ล จัง ที่เน้นการแก้ไขความรู้เชิงจิตวิญญาณ (Spiritual meanings) ต่างมีการบันทึก ความฝันที่เป็นสารบอกเหตุล่วงหน้าเกี่ยวกับคู่ในอนาคต ทั้งนั้นค่ะ ก็เพราะเรื่องความรักและเนื้อคู่นี่เป็นเรื่องยอดฮิตที่คนเกือบทั้งโลกอยาก รู้นะสิค่ะ แล้วเราจะละเลยได้อย่างไรเล่า
ความฝันที่บอกว่าคุณจะได้พบคู่หรือกำลังจะเจอความรัก
1. ฝันถึงงู (งูรัด ถ้างูกัดต้องเป็นงูใหญ่เท่านั้น)
2. ฝันถึงเครื่องประดับสวยงาม โดยเฉพาะอย่างแหวน
3. ฝันถึงน้ำหอม
4. ฝันถึงดอกไม้
5. ฝันถึงฝนตก
* ฝันถึงงู *
‘งู’ ในหลายๆ วัฒนธรรมหมายถึง กามารมณ์ ‘ซิกมุนด์ ฟรอยด์’ ให้ความหมายว่าเป็นอวัยวะเพศชาย บางวัฒนธรรมหมายถึงปัญญาแบบเซียนหรือหมายถึงเทพเจ้า แต่พี่ไทยบ้านเราฟันธงมาตลอดว่า ฝันถึงงูรัดจะเจอเนื้อคู่แน่นอน และฉันขอคอนเฟิร์มว่าจริง!
แต่การฝันถึงงูที่เป็นการบอกเหตุล่วงหน้าว่าคุณจะเจอคู่แน่นอนนั้น ต้องมีลักษณะเฉพาะตรงตามนี้ค่ะ
1. ต้องเป็นงูรัด หรืองูไล่เพื่อจะมารัดเท่านั้น
ถ้างูนอนอยู่เฉยๆ นิ่งๆ โดยเฉพาะนอนในบ้านคุณหรือกลางป่าเขาลำเนาไพร จะหมายถึงเจ้าที่เจ้าทาง ไม่ใช่เนื้อคู่ค่ะ ลืมไปได้เลย
ตัวอย่าง มีคนฝันเห็นงูใหญ่นอนใต้บ้าน เช่น ใต้ดิน ใต้ถุน ใต้พื้นบ้าน ฯลฯ ใต้บ้านเป็นสัญลักษณ์ของระดับ subconscious หรือจิตใต้สำนึก แสดงว่าเจ้าที่เจ้าทางที่มีภูมิปัญญาประจำบ้านคุณ มาบอกให้ขุดค้นพลังจิตใต้สำนึกออกมาใช้ค่ะ ไม่ใช่หมายถึงว่าจะเจอคู่
ถ้างูกัด จะไม่หมายถึงเนื้อคู่โดยตรง แต่หมายถึงการมีเรื่องกวนใจ มีปากเสียง
งูนั้นต้องมีการสัมผัสร่างกายคุณเท่านั้น เช่น รัดรอบคุณ พันมือ หรือแข้งขาก็ได้ ถ้าไม่สัมผัสถูกเลยก็ไม่ใช่คู่
2. ขนาดของงูมักจะปานกลางถึงใหญ่
ถ้างูตัวเล็ก จะไม่หมายถึงคู่ โดยเฉพาะถ้าตัวเล็กและมาเป็นฝูง
ตัวอย่าง เพื่อนฉันเคยฝันว่าถูกรุมไล่กัดโดยฝูงงูเล็กๆ ยั้วเยี้ย จนต้องหนีขึ้นตลิ่ง ปรากฏว่าเธอมีปัญหากับทีมงานทั้งทีมเลยค่ะ ขนาดงูยิ่งใหญ่ จะหมายถึงความสัมพันธ์ที่เข้มข้นขึ้นตามขนาดงู และถ้างูสวยงาม หรือเป็นงูใหญ่มีฤทธิ์ เช่น พญานาค จะหมายถึงระดับฐานะทางสังคมและชื่อเสียงของคนที่จะเจอ
3. สีของงู จะบอกสภาพอารมณ์ของความสัมพันธ์
สีแดง หมายถึงรักอันร้อนแรงแบบ sexual
สีเหลืองนวลถึงเผือก หมายถึงความรักแบบกัลยาณมิตร เอื้ออาทร เป็นรักแบบ spiritual
สีดำ คือรักแบบคาดหวังและเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ หึง งอน แบบมนุษย์ earthy
สีเขียวอ่อน หมายถึงสดชื่น เป็นธรรมชาติ
สีเหลื่อมเลื่อมพิเศษ เช่น สีเขียวมรกต สีทองอร่าม สีเงินประกาย จะหมายถึงระดับฐานะของคู่มากกว่ารูปแบบความสัมพันธ์ เป็นต้น (เราจะเรียนเรื่อง ‘สีในความฝันบอกอะไร’ กันละเอียดอีกทีนะคะ)
ตัวอย่าง ฉันฝันว่างูตัวปานกลางค่อนข้างใหญ่ ประมาณงูแสงอาทิตย์ สีดำแดงสลับกัน เข้ามารัดและกัดฉันหลายครั้ง ต่อมาฉันเจอชายหนุ่มที่ฉันหมั้นหมายด้วย ความสัมพันธ์ของเราเต็มไปด้วยอารมณ์ทุกประเภท ทั้งจี๋จ๋า โรแมนติก เคือง งอน ร้องไห้ ราวกับมิวสิกวิดีโอเพลงอาร์เอส ไม่มีช่วงสงบสุขเลย แต่ก็มันดีค่ะ (ฝันตรงเลยเนอะ)
4. ลักษณะการที่งูเข้ามาหาคุณ บอกสภาพการที่คู่เข้ามาในชีวิต
เข้ามาจู่โจมอย่างรวดเร็ว = เขาเข้ามาแบบรวดเร็วปุบปับ ไม่ตั้งตัว
ค่อยๆ เลื้อยช้าๆ มาคลอเคลีย = ใช้เวลาในการสร้างความสัมพันธ์
งูไล่แล้วคุณหนีไม่คิดชีวิต = เขาเป็นฝ่ายรักหรือจู่โจมคุณก่อน (บางกรณีอาจมีปล้ำ อันนี้ไม่ล้อเล่นค่ะ เรื่องจริง มันเกิดขึ้นมาแล้ว)
5. สภาพอารมณ์คุณตอนเจองู สำคัญมากๆ
โบราณว่า ‘ยิ่งกลัวงูมากเท่าไร ความรู้สึกในความสัมพันธ์ยิ่งเข้มข้น’ แหม แต่จะบอกว่าความรู้สึกในฝันนี่เฟคไม่ได้นะเจ้าคะ พอรู้ว่ายิ่งกลัวยิ่งเข้มข้น คุณก็เฟคกลัวกลั๊วกลัวงูในฝันซะเลย ไม่ด้ายค่า!
6. คุณทำอย่างไรกับงู บอกว่าคุณพร้อมแค่ไหนที่จะมีคู่
ปฏิกิริยาคลาสสิกในการฝันว่างูรัดหรืองูไล่มาพันตัว คือ
- พยายามปัดหรือวิ่งหนี แต่ไม่พ้น งูตามมาจนได้ (เสร็จงู ว่างั้นเถอะ) = คุณจะได้คบเป็นแฟนกับคนนี้แน่นอน
- ทำร้ายงู หรือกระทั่งฟันงูขาด กระทืบๆ งูจนตาย = ไม่ว่าปากคุณจะบอกว่าอยากมีแฟนกับเขาซะทีแค่ไหน ในจิตใต้สำนึก จริงๆ คุณกลัวความรักมากๆ ค่ะ และความกลัวการมีคู่ กลัวมีความสัมพันธ์นี้มาแสดงออกในฝัน ยิ่งทำร้ายงูบอบช้ำรุนแรงเท่าไหร่ ยิ่งบอกความกลัวมากเท่านั้น (โถ งูผู้น่าสงสาร) เพราะฉะนั้นคุณอาจเจอคนถูกใจแต่เขาจะผ่านคุณไปในชีวิตจริง โดยที่คุณจะนึกว่า ‘ฝันไม่แม่นเลย’ แต่ที่จริงเป็นเพราะ subconscious คุณไม่พร้อมเปิดใจรับความสัมพันธ์ต่างหาก
- วิ่งหนีสุดชีวิต งูก็ไล่ไม่ลดละ จนสะดุ้งตื่น = subconscious บอกความไม่พร้อมที่จะมีแฟนของคุณ หรือบอกความกลัวที่คุณรู้สึกลึกๆ ว่าคนคนนี้ไม่เหมาะสมกับคุณ จึงแสดงออกในฝันว่าคุณหนีงูสุดๆ และถ้างูตามไม่ลดละ (มุ่งมั่นมาก) อาจไม่ได้หมายถึงว่าคู่ของคุณตามตื๊อคุณอย่างเดียว แต่หมายถึงว่าแม้จะไม่มีความสัมพันธ์กัน เขาก็จะยังคงยืนยันที่จะอยู่ในชีวิตคุณอีกนาน ไม่หายหัวไปง่ายๆ (แต่อาจเปลี่ยนรูปแบบไปคบกันอย่างอื่น เช่น เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อน หรือทำธุรกิจด้วยกัน)
- สงบสุขท่ามกลางงูรัด = เอ๊ะ มีด้วยหรือเนี่ย? มีค่ะ ฉันไง นอนหลับปุ๋ยสบายเลย งูนุ่มดี เหมือนเตียงนุ่มและผ้าห่มห่มฉันให้หายหนาวเลย แสดงว่าสำหรับคู่คนนี้คุณพร้อมให้เขาเข้ามาในชีวิตอยู่แล้ว และสภาพความสัมพันธ์ก็จะสบายๆ อบอุ่น ปลอดภัย แต่ไม่หวือหวานะ
* ฝันถึงเครื่องประดับ อัญมณี ฝันคลาสสิกแต่โบราณ บอกการเจอคู่ *
เครื่องประดับในหลายๆ วัฒนธรรม หมายถึงของหมั้น และเป็นของขวัญสำหรับคนรัก ฟรอยด์ให้ความหมายเครื่องประดับว่า หมายถึงคนที่เรารัก และแหวน เป็นสัญลักษณ์ของ commitment/bond - การผูกมัดทางใจและความผูกพัน
แต่การฝันถึงเครื่องประดับที่บอกเหตุล่วงหน้าว่าคุณจะเจอคู่ ต้องมีลักษณะเฉพาะเช่นกันค่ะ
1. ถ้าเครื่องประดับนั้นเป็นแหวน หมายถึงคู่แน่นอน
- ฝันว่ามีคนสวมแหวนให้ คุณจะได้เป็นคู่กับคนที่คุณรัก
- ฝันว่ามีคนให้แหวน และคุณเอามาใส่ คุณกำลังมีคนหมายปอง (เจ้าของแหวนที่ให้)
- ฝันว่าคุณให้แหวนคนอื่น หมายถึงคุณกำลังรักคนนั้นข้างเดียว
2. ถ้าเครื่องประดับนั้นเป็นกำไล หรือสร้อยคอ ต้องมีการนำมาสวมใส่ลำคอหรือข้อมือ
- หากคุณเป็นคนสวมใส่กำไลหรือสร้อคอให้ตัวเอง หมายถึง การได้พบและแต่งงานกับ คนมั่งคั่ง หากมีคนสวมสร้อคอหรือกำไลให้คุณ คุณจะตกหลุมรัก และเป็นรักที่จริงใจ หากเครื่องประดับแตก หัก ขาด หล่น ความรักและการแต่งงานนั้นจะผิดหวัง
3. ถ้าเป็นไข่มุก โบราณหมายถึง happy marriage
ฟรอยด์จะตีความไข่มุกว่าเป็น female clitoris แต่หลายตำราหมายถึงการพบรักหรือแต่งงานกับคนดีพร้อมทั้งกายใจและทำให้เรามีความสุขมาก
* ฝันถึงน้ำหอม *
น้ำหอม เป็นเครื่องหมายของพลังดึงดูดทางเพศ และความงามที่เปล่งปลั่ง คุณกำลังมีเสน่ห์อย่างมาก จึงดึงดูดคนมาชอบมากมาย คุณจึงมีโอกาสพบคนที่ชอบ ได้เดต แต่อาจไม่ใช่เนื้อคู่
* ฝันถึงดอกไม้ *
ดอกไม้ เป็นเครื่องหมายของความรักและเพื่อนต่างเพศ หมายถึงความหวังที่จะพบรัก ในยุโรปยุคกลาง ดอกไม้ที่มีหนามหักหมายถึงการร่วมเพศ ในอินเดียหมายถึงความสุขสูงสุด คาร์ลยังระบุว่าดอกไม้หมายถึงอารมณ์และความรู้สึก
สีของดอกไม้ที่คุณฝัน หมายถึงความรักแต่ละรูปแบบ
ดอกไม้แดง หมายถึง sexual love รักแบบชู้สาวและมีเพศสัมพันธ์
ดอกไม้ขาว หมายถึง รักบริสุทธิ์
ดอกไม้น้ำเงิน หมายถึง ความรักที่ดวงวิญญาณและความรู้สึกหลอมรวมกันจนแข็งแกร่ง
ดอก snowdrops หมายถึง การเอาชนะหน้าหนาวและความตาย
สีเหลือง หมายถึง รักสามเส้า
โบราณระบุว่าฝันว่าเก็บดอกไม้ เป็นสัญลักษณ์ของการจะพบประสบการณ์ทางเพศ หรือความมั่งคั่งร่ำรวย
ถ้าจับดอกไม้มาจัดเป็นช่องาม หมายถึง การแต่งงานที่ทุกคนยินดีด้วย
* ฝันถึงฝนตก *
น่าแปลกจังค่ะ ทุกตำราความฝันที่ฉันมีระบุว่าฝันถึงฝนตกหมายถึงการพบรัก (ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะเนี่ย) แต่รักนั้นเป็นอย่างไรต้องดูที่ประเภทของฝนค่ะ
ฝนตกปรอยๆ คุณจะพบคนที่รักคุณอย่างจริงใจ
ฝนฤดูใบไม้ผลิ คือความรักที่ดีงาม เป็นความสัมพันธ์ที่ให้ความชุ่มฉ่ำและชุบชีวิตใหม่แก่คุณ หลังจากพ้นฤดูหนาวอันแสบเยียบเย็น
น่าแปลกอีก เรื่องที่ฝันถึงดอกกุหลาบ ฝันถึงเจ้าสาวเจ้าบ่าวหรือพิธีแต่งงาน กลับไม่ได้หมายถึงการพบรัก แต่ไปเน้นเรื่องชีวิตและการค้าแทน
เทศนา ฮา..สุดขีด กับพระพยอม กัลยาโณ
คุณค่าต่างกัน
เป็นคนที่เสียสาว เสียความบริสุทธิ์ไปแล้วหลายครั้ง พอถึงคราวแต่งงาน...ก็ราคาตก
เพราะไม่มีผู้ชายคนไหน ที่ต้องการเมียที่มีประสบการณ์ทางเพศอย่างโชกโชน ...
ยิ่งมีประสบการณ์มากเท่าไหร่ ราคาก็ยิ่งถูก บางคนยกให้ฟรีๆ ยังไม่มีคนอยากได้
ไม่เหมือนกับวัว - ควาย เวลาเราซื้อวัว - ควาย ... ถ้าเป็นวัวควายสาว .. เราก็ให้ราคานึง
แต่ถ้าเป็นความที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว และกำลังท้อง ...เราก็จะเพิ่มเงินไห้อีก เพราะให้ไม่ช้า
เราจะได้ควายเพิ่มอีกตัวหนึ่งเป็นของแถม .. แต่ผู้หญิงตรงกันข้าม
ถ้ามีผู้ชายมาสู่ขอ และรู้ว่าเรามีเพศสัมพันธ์แล้วและกำลังจะตั้งท้อง ... เขาอาจจะเปลี่ยนใจ
เอาเงินที่เตรียมมาไปซื้อควายทันทีเลย ...
ข้าวใหม่ ปลามัน
คนเราเวลาแต่งงานกันใหม่ๆ ก็รักกันดี ..หอมหวาน ..เอาอกเอาใจ ..ชื่นชม ..ดมแก้มกันไม่เว้นแต่ละวัน
แต่พออายุ 50-60 เผลอตัว ก้มลงไปจะดมแก้ม... ตกใจแทบช็อค
ใบหน้าแตกระแหง .. เหมือนผืนดินแถวทุ่งกุลาร้องไห้ ..หน้ายู่ ..จมูกย่น คนวัยนี้ทาแป้งเท่าไหร่ หน้าก็ไม่ขาวแล้ว
เพราะเนื้อแป้งมันลงร่องหมด พวกสาวๆ สวยๆ อย่าลำพองใจให้มากนัก ถ้าไม่เร่งทำความดี อีกไม่นาน
พอเหี่ยวย่น มันก็ทิ้งแล้ว
สอนลูกให้โง่
ในปัจจุบัน .. มีแม่โง่ๆเยอะมาก ก็ถ่ายทอดความโง่ไปสู่ลูกหลานไม่จบสิ้น
เวลาเลี้ยงลูก ลูกยังเล็ก ซนมาก เดินไปชนโต๊ะเปรี้ยง หกล้ม ร้องไห้จ้า แม่รีบเข้ามาโอ๋ ..ไปประคองลูก
แม่อยากให้ลูกเงียบเร็วๆ จึงเอาไม้ตีโต๊ะต่อหน้าลูก
" นี่แน่... นี่แน่...มาทำลูกของแม่ได้ แม่ตีให้แล้วลูก หยุดร้องได้แล้ว... " แล้วลูกก็หยุดร้อง เพราะแม่ทำโทษโต๊ะให้แล้ว
แต่หารู้ไม่ว่า ขณะที่ลูกหยุดเงียบนั้น แม่ได้ยัดเยียดความโง่เข้าไปในสมองลูกไม่รู้ตัว
โต๊ะมันตั้งอยู่เฉยๆ เด็กเดินไปชนมันเอง แทนที่จะสอนลูกว่า .. " คราวหลัง เดินระวังหน่อยนะลูก จะได้ไม่ชน ไม่เจ็บตัว"
เด็กจะได้ไม่มีความฝังใจว่า ... ใครทำให้กูไม่พอใจ คนนั้นต้องผิด
ต่อไปเ็ด็กจะเอาแต่ใจ ไม่พอใจก็ร้องไห้ ไม่ถูกใจก็ร้องไห้ ไม่ได้อย่างใจก็ร้องไห้ ... เข้าสังคมลำบาค เพราะคิดว่า
ตัวเองถูกตลอด คนอื่นทำไรผิดหมด
คนชั้นต่ำ
มีคนพูดกันว่า ..พระพยอมเทศน์ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่รู้จักคนชั้นสูงชั้นต่ำ มันว่าไปเรื่อย ..
คนอย่างพระพยอมหรือจะไม่รู้จักคนชั้นสูงชั้นต่ำ เพียงแต่ว่าคนชั้นสูงในความหมายของอาตมา อาจจะไม่ตรงกับ
คนชั้นสูงในความคิดคนเหล่านั้นก็ได้ ...
คนขับแท็กซี่ตามท้องถนน ..ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดจาโกหกเสียดสี ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้คน
ไม่ดื่้มสุราเมามาย มีเมตตา รับผิดชอบเลี้ยงดูครอบครัว ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน คนพวกนี้คือ ...คนชั้นสูง
แต่คนที่คนเหล้า เมายา เล่นการพนัน หมกมุ่นอยู่กับอบายมุข มักมากในกามคุณ เบียดเบียนผู้อื่น ขาดเมตตา
แต่บังเอิญฟลุคได้เป็นผู้บังคับบัญชา เป็นผู้ว่า เป็นนายอำเภอ เป็นตำรวจ นายทหาร คนพวกนี้คือ ...คนชั้นต่ำ
คนชั้นสูง
การวัดว่าเป็นคนชั้นสูง หรือคนชั้นต่ำ เขาวัดกันที่ใจ... ไม่ใช่ชาติตระกูล ตำแหน่งการงาน หรือฐานะการเงิน อย่าเข้าใจผิด
มนุษย์ แปลว่า ผู้มีจิตใจสูง มาจากคำว่า มานะ + อุษยะ
มานะ แปลว่า ใจ
อุษยะ แปลว่า สูง
รวมกันจึงแปลว่า ผู้มีจิตใจสูง คือมนุษย์
คิดในใจ
วันก่อนไปบรรยายที่ รร.ไทยวิจิตรศิลป์ ช่างกล เทคนิค ..มันตีกันบ่อยเลยนิมนต์พระไปเทศน์
นักเรียนที่นี่มันวางก้าม เดินส่ายอาดๆ เข้ามาเลย พอผ่านพระมันตะโกนถามว่า
" ไหน วันนี้ใครจะมาพูดให้กูฟังโว้ย "
อาตมานึกในใจ "กูเองแหละ"
แต่ไม่กล้าพูด ... เพราะหน้ามันเหี้ยม ..แล้วก็มากันหลายคน
(55555555555 ขนาดพระยังคิดในใจ)
โสเภณีที่รัก
วันหนึ่งมีคนมานิมนต์ให้ไปเทศน์ให้โสเภณีฟัง ... ตั้งแต่บวชมา เพิ่งจะเจอครั้งนี้แหละ
มันเทศน์ยากพิลึก ... พอไปถึง ทุกคนมองพระเหมือนตัวประหลาด เข้ามาทำไมวะ
พอนั่งปุ๊บ ..มองไปรอบๆ ไม่มีใครสนใจสักคน ..
คิดในใจว่า จะเอาสูตรไหนไปสู้กับมันดีวะเนี้ย ทำใจดีสู้เสือ เริ่มต้นคำแรกว่า ..
" สวัสดีน้องหญิงผู้มีวาสนาสูง " ... ได้ผลแฮะ ได้ผลดีเกินคาด ทุกคนหันมอง ตั้งใจฝังหูผึ่งว่าพระจะพูดอะไรต่อ
" สวัสดีน้องหญิงผู้วาสนาสูง ..ผู้ขายของเก่ากินโดนไม่ต้องลงทุน ..เมื่อน้องหญิงอยู่ที่บ้าน คนทั่วไปจะเรียกอย่างยกย่องว่า
กุลสตรี ยกย่องว่าเพศแม่... แต่พอน้องหญิงมาอยู่ในสถานที่อย่างนี้ ความเป็นกุลสตรี ความสูงส่งของเพศแม่มันถูกทำลายไป
เขาเรียกน้องหญิงว่า 'อีตัว' เวลาเขาจะหาความสุขจากเรือนร่างเธอ เขามารับเธอไป เขาไม่ได้พูดให้เกียรติเธอเลย
แทนที่เขาจะบอกว่า มาเชิญเธอไป เขากับใช้คำว่า หิ้วไป .. เห็นเราเหมือนเป็ดเหมือนไก่ ไม่ให้เกียรติเราเลย
เราน่าจะกลับไปอยู่บ้าน ใช้ชีวิตทำมาหากินเหมือนเดิม ถึงแม้จะไม่ร่ำรวย แต่เราก็อยู่อย่างมีเกียรติ ... "
10 อันดับเรื่องไร้สาระบนอีเมล์
อันดับ10 - อีเมล์ลูกโซ่
...ใช่แล้วครับทุกท่าน มันก็คือ จดหมายลูกโซ่ธรรมดานี่แหละ
ที่ส่งกันมาส่งแล้วส่งเล่าตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ยังจีบกันด้วยจดหมายรัก จนถึงยุคที่อินเตอร์เน็ตส่งข้อมูล 10 MB ต่อวินาทีได้แล้ว ก็ยังมีจดหมายแบบนี้อยู่บนโลกเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แถมเนื้อหาก็ยังลอกมาจากต้น
ฉบับอาจารย์วิจิตรธรรมโชติเมื่อ 30 ปี ก่อนยังไงอย่างนั้น ช่างน่าภูมิใจจังที่เราสามารถอนุรักษ์มรดกของชาติได้เยี่ยมขนาดนี้ เนื้อหาก็จะประมาณว่าจดหมายฉบับนี้มีมนต์วิเศษ ส่งต่อ 20 คน จะโชคดี ถ้าไม่ส่งตายแน่ เหมือนอย่างนายสมชายสมหมายทหารอากาศอะไรทั้งหลายแหล่ ที่ตายแล้วตายอีกในหลักฐานอ้างอิงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
ถ้าท่านอยากเป็นคนงมงายในยุคอินเตอร์เน็ตก็เชิญส่งต่อนะครับ แต่ถ้าอยากฉลาดขึ้นบ้างก็...ลบทิ้งเสียเถอะ
อันดับ 9 - เจ้าแม่กวนอิมโชคดี + พระพิฆเนศโชคดี
... สมัย นี้เค้าเผยแพร่ความโชคดีบนอินเตอร์เน็ตแล้วครับท่านผู้อ่าน เมล์ประเภทนี้จะมีรูปเจ้าแม่กวนอิมหรือไม่ก็พระพิฆเนศที่ถ่ายมาจากไหนก็ไม่ รู้ รู้แต่มันเหมือนกันทุกฉบับเลย
ดูเผินๆ บางคนอาจจะแย้งว่า คนส่งเค้าอยากให้คนได้รับโชคดีไง จะบอกว่าเนื้อหาหลักๆ เหมือนกับอันดับ 10 ไม่มีผิดเพี้ยนครับ แค่เปลี่ยนคำว่าโชคร้ายเป็นโชคดีเท่านั้น แถมยังขู่เหมือนเดิมว่าถ้าไม่ส่ง ซวยแน่ กร๊ากๆๆๆ
บางเวอร์ชั่นดีหน่อยครับที่ไม่ได้ขู่มาด้วย
แต่อยากจะบอกว่าการที่เราเช็คเมล์ แล้วพบเมล์จากเพื่อนๆ 10คน
ต่างคนต่างส่งเมล์หัวข้อนี้มาเหมือนกันทุกคน เรียงเป็นตับในเมล์บ็อกซ์ของเรามันน่ารำคาญโว้ยยยยย
อันดับ 8 - ลูกผมป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว
... อันดับนี้จะว่าดีก็ดี จะว่าร้ายก็ร้าย คือดูเผินๆ แล้วผู้ส่งต้องการความช่วยเหลือแน่ๆ จึงมาโพสท์แบบนี้
บวกหน้าตาที่อยู่พร้อม แต่จะบอกว่าเมล์แบบนี้ ห้าปีผ่านไปก็ยังฟอร์เวิร์ดกันให้เกลื่อน
คือ ถ้าลูกคุณป่วยเป็นมะเร็งและต้องการความช่วยเหลือด่วน แต่ยังรอคนใจดีอยู่ได้ตั้ง 5 ปีแบบนี้
ขอ คาดการณ์ว่าร่างกายคงมีภูมิต้านทานดีขนาดหนักแล้วครับ ไม่ก็ตายไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องฟอร์เวิร์ดต่อหรอก เพราะมีกรณีนึงที่มีคนลองติดต่อไปแล้วพบว่าเป็นเรื่องจริง
แต่ทางต้นสายบอกว่าเป็นเรื่องเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ผลร้ายจากความใจดีของพวกเรานั่นเองที่เห็น
แล้วสงสาร ฟอร์เวิร์ดไปเรื่อยๆ เผื่อจะเจอใครที่ใจบุญกว่า แต่บอกตามตรง เท่าที่เคยประสบมา
คนฟอร์เวิร์ดจะไม่ให้ความช่วยเหลือ ส่วนคนช่วยเหลือจะไม่ฟอร์เวิร์ด ฮ่วย!
ถึง ผู้ใดก็ตามที่ประสบปัญหาแนวๆ นี้ ขอแนะนำว่าอย่าส่งทางเมล์เลยครับ เพราะเมื่อมันเผยแพร่ในโลกไซเบอร์แล้ว มันค้างนาน และมันจะกระจายเป็นวงกว้างซึ่งไม่มีทางยับยั้งได้
แม้ คุณจะได้รับการช่วยเหลือแล้วคุณก็ยังอาจจะได้รับการติดต่อมาอีกต่อไปเป็น ปีๆ ทางที่ดีไปลงประกาศในหนังสือพิมพ์หรืออะไรทำนองนั้นดีกว่านะ
อันดับ 7 - ไม่ส่งต่อ ไม่มีแฟน
... ไม่ รู้ว่าคนเราสมัยนี้กลัวการไม่มีแฟนมาก หรือไม่ก็ไม่มั่นใจในฝีมือการจีบของตัวเอง จึงส่งกันเป็นว่าเล่น เมล์ประเภทนี้จะขึ้นต้นด้วยข้อความดีๆ ภาพน่ารักๆ แต่ลงท้ายด้วยข้อความประมาณว่า
ส่ง 1-5 คน จะโชคดีเล็กๆน้อย
ส่ง 6-15 คน จะเจอเนื้อคู่
ส่ง 16-30 คน เนื้อคู่จะโทรมาหาใน 10 นาที (ดูมัน ยังกะโฆษณาทีวีไดเรคต์)
และ ถ้าไม่ส่ง โสดตลอดชาติ ประมาณนี้เป็นต้น สังเกตว่ามีระดับความโชคดีให้เลือกด้วย ใครคิดว่าตัวเองโชคดีอยู่แล้วก็ส่งน้อยๆ ใครคิดว่าดวงซวยก็ส่งเยอะๆ อืม...เหมือนชิงโชคเลยเนอะ แต่รู้สึกส่งชิงโชครายการคุณปัญญาจะมีโอกาสมากกว่าซะอีกนะ
อยากบอกว่า..แฟนถ้าจะมีมันก็คงจะมีเองแหละ ไม่เกี่ยวกับโชคลางบนเน็ตซะหน่อย
อันดับ 6 - กินชาเขียวเย็นเป็นอันตราย
... เมล์ประเภทนี้มีมาเป็นระยะๆ ตามแต่ว่าอะไรที่ฮิตในช่วงนั้น ช่วงแรกมันเป็นโค้ก กินโค้กแล้วอันตราย เอาตะปูแช่โค้ก 1 วัน ตะปูละลาย
ต่อ มาก็เป็นชาเขียวเย็น กินแล้วไขมันจับ เพราะมันเย็น พิสูจน์ได้ด้วยการเทชาเขียวเย็นลงในชามก๋วยเตี๋ยว แล้วจะเห็นไขมันจับเป็นก้อน ปัดโธ่ เทอะไรเย็นๆ ลงน้ำซุป มันก็จับหมดแหละคุณ (ไม่เชื่อไปลองดูได้) หรือไม่ต้องเทน้ำอะไรหรอก เอาก๋วยเตี๋ยวไปแช่เย็น สักพักมันก็จับไขแล้ว เมล์แบบนี้จะใช้ข้อความเหมือนยกข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มาอ้าง
ซึ่งถ้าใครฉลาดๆ หน่อยก็จะจับผิดได้ว่ามันไม่เป็นจริง ส่วนใครโง่ๆ ก็...ฟอร์เวิร์ดต่อปายยย (ล่าสุดนี่รู้สึกจะเป็นโรตีบอยแล้วนะ มันอินเทรนด์ดีโว้ยคนเขียนเมล์แบบนี้)
อันดับ 5 - จุดจบประเทศไทย
... เขียน โดย นิติภูมิ เนาวรัตน์ ชายหนุ่มผู้มองเห็นประเทศอื่นดีกว่าเราในทุกด้าน ส่วนเมืองไทยนั้นกระจอก คอรัปชั่น เฮงซวย ล่มสลายแน่ๆ ถ้าไม่เชื่อกรู ไม่รู้มันเกิดมาเป็นคนไทยทำไมเหมือนกัน เมล์ชนิดนี้เนื้อหาเหมือนต้นฉบับเพราะลอกมา เนื้อหาจะเกี่ยวกับประเทศไทยในปี 2550 ที่จะถูกน้ำท่วม ภัยพิบัติ ฯลฯ สุดท้ายก็จะกลายเป็นเหมือนอาร์เจนติน่า ฯลฯ ดีเหมือนกันวงการฟุตบอลบ้านเราจะได้ไปบอลโลกซะที
เมล์ แบบนี้จริงๆ ก็จัดว่ามีประโยชน์ เสียแต่ว่ามันทำให้เกิดความแตกแยกได้ง่าย หากผู้อ่านไม่มีวิจารณญาณ จริงๆ คือพวกเราได้แต่อ่านแล้วก็ส่ง ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเกลียดคนที่ถูกอ้างถึงในเมล์ โดยไม่มีหลักฐานอย่างอื่นประกอบการตัดสินใจเลย อีกอย่างคือ เมล์แบบเนี้ยไม่ต้องส่งหรอก ถ้าในปี 2550 มันจะ เป็นอย่างที่อ้างจริงๆ ผู้เขียนเค้าก็มีหลักฐานการเขียนของเค้าอยู่แล้วแหละ ไม่ต้องส่งต่อเพียงเพื่อประกาศให้รู้ว่ากรูเก่งหรอก มันน่ารำคาญรู้มั้ย เพราะว่ามีเมล์เนื้อหานี้ในเมล์บ็อกซ์เกือบร้อยฉบับแล้ว
อันดับ 4 - ฟอร์เวิร์ดไป 18 คนแล้วกด Alt+F8
... ไม่รู้ว่ามีที่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจเป็นเพราะโปรแกรมอีเมล์เมื่อสมัยสิบปีก่อนมีฟังก์ชั่น Atl+F8 ก็ ได้ ปัจจุบันมันไม่มีใช้แล้ว แต่เมล์แบบนี้ก็อาศัยความอยากรู้ของผู้ส่ง มาทำให้มันถูกฟอร์เวิร์ดมาเรื่อยๆ นับสิบปีแล้ว (พูดตรงๆ ก็คือผมได้เมล์แบบนี้มาตั้งแต่เริ่มเล่นเน็ตเมื่อปี 2543 จน บัดนี้ก็ยังได้รับอยู่) เนื้อหาก็จะเป็นว่า มียายแกไปซื้ออาหารหมา อาหารแมว สุดท้ายก็ให้คนขายล้วงไปในกล่อง ถ้าอยากรู้ว่าในกล่องมีอะไร ให้ฟอร์เวิร์ดไป 18 คน แล้วกด Atl+F8 หรืออะไรทำนองนี้ ก็จะพบคำตอบ
บางเมล์เล่นง่ายกว่านั้น ไม่ต้องอารัมภบทมาก มาถึงก็บอกให้ส่งเลย แล้วกดดูจะพบว่ามีอะไรเปลี่ยนไป
ไม่ต้องส่งต่อนะครับ ขอร้อง เพราะตั้งแต่มันถูกส่งมาในโลกนี้ ยังไม่เคยมีใครสักคนรู้เลยว่ากด Atl+F8
แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ...จริงๆ อาจจะพบก็ได้ ...พบว่าตัวเอง>>โง่<
อันดับ 3 - รูปถ่ายวิญญาณ ชายผู้ล่วงลับ
... เมล์ แบบนี้เอาความน่ากลัวเข้าว่า เริ่มจากบอกเล่าเรื่องราวของชายหนุ่มที่ไปเที่ยวป่า แล้วถ่ายรูปติดวิญญาณมา สองสามวันถัดมาเขาก็ตาย หากใครไม่อยากตาย ให้ส่งต่อ 10 คน มิฉะนั้นวิญญาณในรูปจะตามไปที่บ้าน ตบท้ายด้วยรูปถ่ายวิญญาณที่น่ากลัวก็จริง
แต่รู้ว่าตัดต่อ เพราะไอ้ผีในรูปนั้น ไปเสิร์ชเวบผีเวบไหนมันก็มี (ใครไม่มี เชยมาก) เป็นรูปต้นแบบที่ถูกนำมาใช้ตัดต่อบ่อยที่สุด
อันดับ 2 - ยายมาหา
... อัน นี้ยังเล่นกับความน่ากลัวไม่เลิก ด้วยการให้เด็กชายคนหนึ่ง เล่าเรื่องน่ากลัวเกี่ยวกับยายตัวเองจะมาเอาชีวิต แกเลยหาทางรอดด้วยการบอกว่าให้ไปเอาชีวิตคนอ่านเมล์นี้แทน
ฉลาดมากหนุ่มน้อย ไม่ยักรู้ว่ายายเอ็งเล่นเน็ตเป็นด้วย เมล์นี้ยอมรับว่าน่ากลัวจริง แต่ก็ได้มาจนหายกลัวไปแล้ว
ถ้ายายอยากได้วิญญาณจริง ไปหาวิญญาณเป็ดไก่ตามตลาดสดจะเจอเยอะกว่านะยายจ๋า วันนึงเป็นร้อยตัวเลย
อันดับ1 - ฮ็อตเมล์เก็บตัง
... มาแล้วครับ กับอันดับยอดฮิตที่สุดบนโลกมนุษย์ เมล์นี้มีเนื้อหาบอกว่า ทางฮ็อตเมล์จะทำการเก็บเงินผู้ใช้เมลล์ @hotmail โดยผู้ส่งเมล์จะให้พวกเราช่วยกันฟอร์เวิร์ดไปเยอะๆ เค้าจะได้สงสาร และยกเลิกการเก็บตัง เมลล์ แบบนี้ก็ได้มาตั้งแต่เล่นเน็ตสมัยแรกๆ แล้วถ้ามันเป็นจริง ก็นับว่าฮ็อตเมล์ใจดีมาก จะเก็บตังมาตั้งหลายปีแล้ว ก็ไม่เก็บสักทีเพราะมีคนฟอร์เวิร์ดเยอะ ว่าแต่มันจะรู้ได้ไงวะว่ามีคนฟอร์เวิร์ดน่ะหืม? แรกๆ มันเป็นแค่ข้อความ ต่อมานี้ลงทุนทำแบนเนอร์ปลอมที่มีสัญลักษณ์ฮ็อตเมล์ให้ดูน่าเชื่อถือขึ้น
ล่าสุดนี่สงสัยรู้ตัวว่าไม่ได้ผล เลยใส่เพิ่มลงไปในหัวข้อด้วยว่า
คราวนี้เอาจริงแล้ว ฮ็อตเมล์จะเก็บตังเราแล้วล่ะ! (มีการขู่ 555)
เคย ลองทำเมล์ปลอมแบบนี้เหมือนกัน เพื่อให้เลิกส่งเมล์สไตล์นี้ โดยการใช้เนื้อหาว่าฮ็อตเมล์ต้องเสียเงินนับร้อยล้านดอลล่าร์เพิ่อแก้คดีคน เข้าใจผิดว่าเขาจะเก็บตัง และประกาศจะจับตัวผู้ที่ส่งเมล์ที่ทำให้ทางเขาเสียหาย นั่นคือใครฟอร์เวิร์ดเมลล์แบบนั้นอีก จะถูกตามรอยมา
ถึงบ้านและถูกฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทกันทุกคน ผลก็คือ FWD mail หัวข้อ ฮ็อตเมล์เก็บตัง ก็ยังคงฮิตไม่เสื่อมคลาย
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า..คนเรากลัวไม่ได้ใช้ฮ็อตเมลล์ มากกว่ากลัวถูกจับซะอีก 555
ทั้งหมดนี้เขียนขึ้นมาก็เพื่ออยากจะประกาศให้โลกรู้ว่า เมล์เนื้อหาแบบเนี้ย มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากแสดงให้คนรู้วาคุณโง่ เชื่อในเรื่องเหลวไหล และเพิ่มเนื้อที่เมล์ขยะในเมลล์บ็อกซ์ของคนอื่นโดยใช่เหตุ แถมเมล์บางอันก็ยังปลูกฝังความเชื่อผิดๆ ซะอีก (เช่นเมล์ชาเขียวเย็นอันตราย) เป็นการโจมตีคู่แข่งทางการค้าได้โดยไม่ต้องเสียตังอะไรเลย ใช้ประโยชน์จากคนโง่ๆ ที่หลงเชื่อนั่นแหละ
เลิกฟอร์เวิร์ดได้แล้ว เชื่อว่าใครที่เล่นเน็ตมาไม่ต่ำกว่า 1 ปี ก็เคยได้รับเมล์แบบนี้กันหมดแล้วล่ะ มาช่วยกันฟอร์เวิร์ดแต่เมล์เนื้อหาดีๆ มีคุณค่า อ่านแล้วถึงไม่ได้สาระก็ขอให้ได้ความสบายใจหน่อยเถอะนะ
เรื่องของผู้หญิงที่ผู้ชายไม่เข้าใจ
ผู้ชายชอบพูดเสมอว่าผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยากที่สุด!! พวกเขาต้องใช้ความอดทนและความพยายามอย่างสูงที่จะทำตามใจพวกเธอ แต่ในความเป็นจริงผู้หญิงไม่ได้เข้าใจยากขนาดนั้นหรอกจริงไหม
พวก เราที่เป็นผู้หญิงรู้ดีว่าเราต้อง การอะไร เพียงแต่ในบางครั้งการบอกอะไรไปตรงๆ มันก็ทำให้ผู้หญิงเราดูเสียฟอร์มไปสักนิด แล้วอะไรบ้างล่ะ?? ที่ผู้ชายเขาสงสัยในตัวของพวกเรา มันอาจเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว และเข้าใจยากไปสักนิด แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดมาพร้อมกับความเป็นผู้หญิงของเราจริงๆ เลยล่ะ
ทัศนคติของผู้หญิงเปลี่ยนไปหลังจากเป็นแฟนกันแล้ว
3 เดือนแรกสำหรับความรักของเธอมันช่างงดงามเสียจริง นี่เป็นเสียงที่ผู้ชายหลายคนพูดออกมา พวกเขาไม่เข้าใจว่าผู้หญิงมีเหตุผลอะไรที่ปิดบังตัวตนที่แท้จริงในช่วงแรก ที่เริ่มคบกัน แต่พอหลังจากที่เวลาล่วงเลยผ่านไปทุกอย่างเหมือนโดนสับขาหลอกกลับด้านไปหมด นั่นเป็นเพราะเราไม่กล้าเปิดเผยตัวตนว่าที่จริงแล้วเรามีทัศนคติยังไงกับ เรื่องที่คุยกัน คุณอาจไม่มั่นใจว่าความคิดของคุณมันจะตรงใจเขาหรือไม่ ทำให้คุณต้องสร้างสถานการณ์ตามใจให้เขารู้สึกว่าคุณกับเขามีอะไรที่คล้ายกัน เขาจึงไม่รู้จักตัวตนของคุณ วาดฝันคิดเองเออเองไปว่าคุณเป็นอย่างนั้นอย่างนี้โดยที่ไม่มีทางได้รู้ตัวตน จริงๆ ของคุณ เพราะฉะนั้น แสดงตัวตน และความคิดเห็นที่เป็นคุณจะดีกว่า ถ้าคบกันไปแล้วเขาพบว่าคุณไม่ได้เป็นอย่างที่เขาเข้าใจ ความสัมพันธ์ของคุณและเขาอาจพังลงได้เพราะเรื่องการเปลี่ยนแปลง
ทำไมผู้หญิงต้องปากไม่ตรงกับใจ
เรื่องปากไม่ตรงกับใจเป็นเรื่องที่สร้างปัญหาให้บรรดาผู้ชายต้องคิดคำนวณซ้ำ แล้วซ้ำอีกว่าคำพูดที่ออกมาจากปากพวกผู้หญิงนั้น เธอรู้สึกตามนั้นจริงหรือเปล่า อย่างเช่น ถ้าแฟนของคุณบอกว่า ผมขอเล่นเกมได้ไหม ถึงแม้ผู้หญิงตอบว่า ตามใจสิ มันก็ยังทำให้เขาต้องคิดต่อว่าคุณตอบด้วยความรู้สึกยินยอมและเต็มใจหรือไม่ เพราะจากประสบการณ์ที่ผู้ชายเจอนั้น คำตอบสไตล์นี้อาจตามมาด้วยอารมณ์บึ้งตึง เพราะผู้หญิงเรามักจะไม่พอใจและคิดว่า เขาเห็นความสำคัญของเกมมากกว่า ทางแก้คือตอบคำถามให้ตรงกับความต้องการของหัวใจคุณดีกว่า ถ้าคุณอยากให้เขาใช้เวลานี้ร่วมกับคุณมากกว่าที่จะให้เขาเล่นเกมสนุกสนานโดย ที่คุณต้องนั่งโดดเดี่ยวอยู่ข้างๆ ก็พูดออกไปตรงๆ เลยว่าคุณอยากทำอะไรพร้อมเขาบ้างในตอนนี้ แต่ควรเป็นคำพูดในลักษณะขอร้องเช่น เราดูดีวีดีเรื่องนี้พร้อมกันดีกว่าไหม? เพียงแค่นี้เขาก็สามารถรู้ได้ว่าคุณได้ตอบออกมาเป็นประโยคปฏิเสธแล้ว บรรยากาศจะได้ไม่ตึงเครียดแค่เพราะคุณปากไม่ตรงกับใจ
ผู้หญิงมองการแต่งงานเป็นจุดสูงสุดในชีวิต
มันยากที่ผู้ชายจะเข้าใจว่าทำไมผู้หญิงถึงอยากแต่งงานกันนักหนา และพวกเขาก็ไม่เข้าใจจริงๆ เสียด้วยว่าทำไมผู้หญิงถึงมีความคาดหวังกับการแต่งงานสูงขนาดนั้น นอกจากพวกเขาจะรู้สึกว่าผู้หญิงชอบเปรียบเทียบตัวเองเหมือนเจ้าหญิงในนิทาน เมื่อมีผู้ชายมาขอแต่งงานก็ทำให้นิทานเรื่องนี้จบแบบแฮบปี้เอนดิ้งแล้ว พวกเขายังรู้สึกอึดอัดกับพฤติกรรมที่ผู้หญิงกดดันให้เขาเอ่ยปากขอแต่งงาน ด้วยสถานการณ์และคำพูดต่างๆ นาๆ ซึ่งจริงๆ แล้วการแต่งงานเมื่อเกิดขึ้นมันไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะจบแบบสวยหรู แต่มันคือจุดเริ่มต้นที่คุณและเขาต้องฝ่าฟันและใช้ชีวิตร่วมกันไปยาวนานต่าง หากล่ะ
3 เรื่องหลักที่ผู้ชายพยายามค้นหาคำตอบว่าทำไมผู้หญิงเราถึงได้เป็นแบบนี้ แต่สำหรับผู้หญิงแล้วทุกอย่างมีเหตุผลซ่อนอยู่ทั้งนั้น แต่ก็อาจมีบางครั้งที่ทำไม่ถูกวิธี ลองเอาเทคนิคพวกนี้ไปปรับใช้ดูหน่อยจะได้ช่วยลดความสงสัยจากใจของพวกผู้ชาย ได้บ้าง แต่ถึงพวกเขาจะสงสัยและไม่เข้าใจในความเป็นหญิงของเราแค่ไหน
มั่นใจเถอะว่าพวกเขาก็ขาดผู้หญิงเจ้าปัญหาอย่างพวกเราไม่ได้หรอกค่ะ
เปิดโผ 10 อาชีพที่เครียดที่สุดในปี 2011
คงจะปฏิเสธ ไม่ได้เลยว่าปัจจุบันโลก ของเรามีปัญหารุมเร้ามากมาย เริ่มตั้งแต่ต้นปี 2011 เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วม ดินถล่ม พายุฝนตก หิมะตกหนัก โลกร้อน ฯลฯ ซึ่งจากการ ที่หลายพื้นที่ หลายประเทศต้องประสบปัญหาทางภัยพิบัติทางธรรมชาติเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็น ด้านสุขภาพ มลพิษทางอากาศ ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ฯลฯ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ถือเป็นปัญหาที่หลายประเทศกำลังประสบในขณะนี้ หลายประเทศรายได้ของคนส่วนใหญ่ยังเท่าเดิม อีกทั้งยังต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงต่ออาชีพในอนาคต แต่ค่าครองชีพกลับพุ่งสูงขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนนำมาซึ่งความเครียด ทั้งนี้ ผลการสำรวจล่าสุดของสมาคมจิตวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกาได้ออกมายืนยันแล้วว่า ลูกจ้างกว่า 70% กล่าวว่า งานเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พวกเขาเกิดความเครียด
สำหรับการ สำรวจภาพรวมของอาชีพต่าง ๆ รวม 200 อาชีพของสมาคมจิตวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกาพบว่า 10 อาชีพที่สร้างความเครียดได้มากที่สุดในปี 2011 นี้ มีดังนี้
1. นักบิน
อันดับความเครียด 199
คะแนน 59.53
ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน 91 จาก 200
จำนวนชั่วโมงทำงาน 9
รายได้ต่อปี $106,153.00
นักบินของสายการบินพาณิชย์ต่าง ๆ มีระดับความเครียดสูง เนื่องจากพวกเขาจะต้องรับรองความปลอดภัยของผู้โดยสารหลายชีวิตในแต่ละเที่ยว บิน อีกทั้งยังต้องทำงานภายใต้ระยะเวลาที่เข้มงวด เนื่องจากพวกเขาต้องนำเครื่องบินลงสู่ที่หมายให้ตรงตามเวลาไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นเช่นใดก็ตาม
2. เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์
อันดับความเครียด 198
คะแนน 47.60
ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน 111 จาก 200
จำนวนชั่วโมงทำงาน 9
รายได้ต่อปี $90,160.00
เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของบริษัท ดังนั้นพวกเขาจึงต้องสร้างและรักษาภาพลักษณ์ของบริษัทให้ดีต่อหน้าสาธารณชน และยังต้องคอยนำเสนองานต่าง ๆ ต่อหน้าผู้อื่นอยู่เสมอ
3. ผู้บริหารระดับสูง
อันดับความเครียด 197
คะแนน 47.41
ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน 143 จาก 200
จำนวนชั่วโมงทำงาน 11
รายได้ต่อปี $161,141.00
ผู้บริหารระดับสูงจะต้องมีหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนการต่าง ๆ ภายในบริษัท ในขณะเดียวกัน ก็ต้องสามารถประสานงานกับฝ่ายต่าง ๆ ได้โดยตรง ผู้บริหารระดับสูงนี้มักจะถูกคาดหวังว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ใน เรื่องราวต่าง ๆ อย่างทะลุปรุโปร่ง และมีทัศนวิสัยกว้างไกล มองสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรอบด้าน นอกจากนี้พวกเขายังต้องเผชิญความเครียดเนื่องจากเขาเป็นผู้ชี้ชะตาของบริษัท หากตัดสินใจผิดพลาดเพียงนิดเดียวก็อาจทำให้บริษัทถึงกับล้มละลายได้ภายใน พริบตา
4. ช่างอัดรายการข่าวโทรทัศน์
อันดับความเครียด 196
คะแนน 47.09
ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน 113 จาก 200
จำนวนชั่วโมงทำงาน ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท
รายได้ต่อปี $40,209.00
ช่างอัดรายการข่าวโทรทัศน์จะต้องรู้จักจับภาพจากเรื่องราวต่าง ๆ ให้ปะติดปะต่อสอดคล้อง และเน้นจุดสำคัญให้ได้โดยผ่านเลนส์ และในบางครั้งพวกเขาก็ต้องเสี่ยงอันตรายเพื่อให้ได้ข่าวมาเนื่องจากความ อันตรายของพื้นที่ที่ทำข่าวแล้ว ยังมีกำหนดเวลาส่งงานที่เข้มงวด และปัญหาความผิดพลาดทางเทคนิคที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในบางครั้ง
5. ผู้สื่อข่าว
อันดับความเครียด 190
คะแนน 43.56
ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน 129 จาก 200
จำนวนชั่วโมงทำงาน 8
รายได้ต่อปี $50,456.00
ผู้สื่อข่าวจะต้องเตรียมข่าว และถ่ายทอดข่าวออกอากาศให้กับผู้ชมทางโทรทัศน์ โดยปกติพวกเขาจะต้องถ่ายทอดข่าวแต่ละวันจากสตูดิโอ แต่บางครั้งก็ต้องออกภาคสนามเช่นกัน ซึ่งใน 24 ชั่วโมง มีข่าวต่าง ๆ มากมายเข้ามาเรื่อย ๆ จึงทำให้พวกเขาค่อย ๆ สะสมความเครียดเข้าไป นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวยังต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันสูงจากการหาข่าวแข่งกับ ที่อื่น ๆ และต้องอัพเดทข่าวให้เร็วที่สุด
6. เจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายบัญชี
อันดับความเครียด 189
คะแนน 41.05
ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน 135 จาก 200
จำนวนชั่วโมงทำงาน 9.5
รายได้ต่อปี $62,105.00
เจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายบัญชีจะเป็นผู้ดูแลบัญชีของบริษัท ซึ่งพวกเขาจะต้องใช้สมองอย่างหนักในการคำนวณเลขมากมายให้ถูกต้องแม่นยำ พิจารณารายละเอียด และทำงานได้สำเร็จลุล่วงตามกำหนดเวลาอย่างเข้มงวด ดังนั้นจึงส่งผลให้พวกเขาเกิดภาวะกดดันทางอารมณ์และมีอาการเครียดเรื้อรัง ตามมาได้
7. สถาปนิก
อันดับความเครียด 185
คะแนน 39.93
ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน 88 จาก 200
จำนวนชั่วโมงทำงาน 8+
รายได้ต่อปี $73,193.00
สถาปนิกจะต้องวางแผน ออกแบบ และควบคุมตรวจตราโครงสร้างของอาคารที่พักต่าง ๆ ซึ่งจะต้องมีการคำนวณอย่างแม่นยำก่อนจะส่งให้กับผู้รับเหมาก่อสร้างต่อไป ดังนั้นสถาปนิกจึงต้องจัดการกับความเครียดและความกดดันจากการออกแบบวางแผน เพื่อไม่ให้งานเกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้เลย
8. นายหน้าค้าหุ้น
อันดับความเครียด 184
คะแนน 39.70
ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน 98 จาก 200
จำนวนชั่วโมงทำงาน 8
รายได้ต่อปี $67,470.00
นายหน้าค้าหุ้นจะช่วยให้การซื้อขายแลกเปลี่ยนหุ้นทำได้อย่างสะดวกมากยิ่ง ขึ้น และพวกเขาต้องคอยเกาะติดกับความผันผวนของหุ้นแต่ละตัวซึ่งมีอยู่เป็นจำนวน มาก ดังนั้นความเครียดของพวกเขาก็ผันผวนตามการขึ้นลงของหุ้นในตลาดเช่นเดียวกัน
9. เวชกิจฉุกเฉิน (EMT)
อันดับความเครียด 183
คะแนน 39.68
ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน 100 จาก 200
จำนวนชั่วโมงทำงาน ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่
รายได้ต่อปี $30,168.00
เวชกิจฉุกเฉิน(EMT) คือ เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ช่วยชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉินและผู้ได้รับบาดเจ็บจาก อุบัติเหตุและภัยพิบัติในสถานที่เกิดเหตุ พวกเขาจะต้องรับผิดชอบต่อชีวิตผู้ป่วยที่อยู่ในมือพวกเขาในทันการในการนำผู้ ป่วยจากที่เกิดเหตุมายังโรงพยาบาล อีกทั้งเวลาการทำงานไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับการแจ้งเหตุของผู้ป่วย
10. นายหน้าอสังหาริมทรัพย์
อันดับความเครียด 181
คะแนน 38.57
ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน 31 จาก 200
จำนวนชั่วโมงทำงาน 9.5
รายได้ต่อปี $40,357.00
นายหน้าอสังหาริมทรัพย์จะเป็นคนกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายในธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ พวกเขาจะต้องทำงานอย่างยาวนาน ไม่เว้นแม้กระทั่งวันหยุดสุดสัปดาห์ และทำงานที่น่าเบื่อ ซ้ำซากจำเจโดยต้องคอยเปิดตัวอย่างบ้านให้กับลูกค้าดูทีละราย นอกจากนี้จากสภาพเศรษฐกิจย่ำแย่ บวกกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการแข่งขันของธุรกิจนี้อย่างสูง ดังนั้นอาชีพนี้จึงสร้างความเครียดให้กับพวกเขาได้ไม่น้อยเช่นกัน
เปิดใจครูอังคณา
ครูอังคณา เล่าต่อว่า เมื่อตั้งกลุ่มแล้วเด็ก ๆ ในห้องก็มาโพสต์ข้อความบอกข่าวกันในกลุ่ม ม.1/9 ซึ่งตนก็ไม่ได้เข้าไปดูบ่อยนัก แต่มาทราบภายหลังว่า มีการบล็อกไม่ให้ "โต๊ด" เข้ากลุ่มด้วย "โต๊ด" ก็เลยไปโพสต์คลิประบายความในใจ ตนจึงได้เรียกสมาชิกในห้องมาคุยกันว่า ไม่ให้ทะเลาะกันแบบนี้ ซึ่งเด็ก ๆ ก็เข้าใจกันดีแล้วเรื่องก็จบไปตั้งแต่เดือนมกราคมแล้ว แต่เรื่องคลิปของ "โต๊ด" ที่เพิ่งจะมาปรากฏนั้น ก็ไม่ทราบว่ามีที่มาจากไหน เพราะเรื่องทั้งหมดเด็ก ๆ ได้พูดคุยทำความเข้าใจกันไปแล้ว ส่วนเด็ก ๆ ในห้องก็งงกับเรื่องที่เกิดขึ้นเช่นกัน
"ทราบเรื่องนี้ เพราะมีเด็กนักเรียนบอกมาว่า ตอนนี้มีคนไปสร้างเพจปลอม โดยใช้ชื่อดิฉัน ใช้ชื่อโต๊ด ใช้ชื่อบอล โพสต์คุยกันในเพจ และมีหลายคนไม่รู้เรื่องเข้าใจว่าเป็นตัวจริง ก็เข้าไปคอมเมนท์ ว่าโต๊ดบ้าง ว่าบอลบ้าง แสดงความเห็นใจบ้าง ซึ่งดิฉันก็งงว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะทั้งดิฉัน โต๊ด บอล ไม่ได้สร้างเพจนี้แน่ ๆ และปกติก็ไม่ค่อยได้เข้าอินเทอร์เน็ต เข้าเฟซบุ๊กอยู่แล้ว จึงขอให้คนที่เข้าไปเล่นในเพจอย่าเชื่อว่าดิฉัน เป็นคนโพสต์ หรือสร้างเพจนี้"
ส่วนวลีฮิตที่ว่า "จะฟ้องครูอังคณา" นั้น ครูเจ้าของวลีเด็ดนี้ ชี้แจงว่าอาจจะเป็นเพราะตนเป็นที่ปรึกษาของห้อง ม.1/9 และพูดกับเด็ก ๆ ไว้ว่า เวลามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในห้องให้บอกครู อย่าให้ครูรู้จากคนอื่น ก็เลยทำให้เด็ก ๆ มาปรึกษาครูทุกเรื่อง แต่คงไม่ใช่เพราะตนเป็นครูที่ดุเลยทำให้เด็ก ๆ พูดกันว่าจะฟ้องครูอังคณา เพราะที่ผ่านมา ไม่ใช่ครูที่ดุเลย ปกติก็ไม่ค่อยตีเด็กด้วย
ขณะที่ "บอล" ซึ่งมีชื่อในคลิปว่าเป็นคนบล็อก "โต๊ด" ไม่ให้เข้ากลุ่มนั้น ได้ออกมาเล่าเช่นกันว่า สาเหตุที่ไม่ให้ "โต๊ด" เข้ากลุ่ม เพราะเวลาเพื่อน ๆ ในห้องคุยงานกัน "โต๊ด" จะไม่ออกความเห็น แต่จะพิมพ์ ... จำนวนมาก ซึ่งในเฟซบุ๊กรับได้แค่ 99 ข้อความ แต่ "โต๊ด" พิมพ์... มาเป็นร้อย ทำให้งานหาย คนในกลุ่มจึงลงความเห็นกัน และให้ตนซึ่งเป็นแอดมินไล่ "โต๊ด" ออกจากกลุ่มไปในตอนนั้น
ง้อกับงอน
ง้อกับงอน อีกเรื่องที่ผู้ชายก็ต้องทำความเข้าใจ เหมือนอย่างที่เหรียญมีสองด้าน ซ้ายคู่กับขวา ช้อนคู่กับส้อมหรือรองเท้าต้องมีสองข้าง จะว่าไปแล้วอาการ "ง้อ" กับ "งอน" นั้นเป็นสิ่งคูกันที่อยู่คนละขั้วไม่ต่างจากตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นเท่าใดนัก
ในพจนานุกรมคำว่า ง้อ กับคำว่างอนอยู่ห่างกันเพียงแค่ไม่กี่คำกั้นกลาง แต่กลับเป็นอาการที่อยู่ในขั้วตรงข้ามกันกันสุดขีด
"ง้อ หมายถึง ขอคืนดีด้วย โดยไม่มีทิฐิมานะถือโกรธ หรืออ่อนเข้าหาเพื่อให้ยอม" ส่วน "งอน นั้น หมายถึงแสดงอาการโกรธเคืองไม่พอใจ หรือทำจริตสะบัดสะบิ้ง" ในขณะที่ งอนง้อก็มีความหมายตามพจนานุกรมด้วยเช่นกัน หมายถึงอ้อนวอนขอคืนดีด้วย
นอก จากนี้ สองอาการนี้ตัดจากความรักของคนสองคนไม่ขาด หรือไม่ก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของหญิง ชายอย่างเหนียวแน่น และมักจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งเสียด้วย
ผู้ชายก็งอนเป็น...
แม้ ว่าการงอนจะกลายเป็นสิ่งที่ถูกหยิบยกให้เป็นคุณสมบัติสำคัญของผู้หญิงไปแบบ ถาวร เขาว่าเธอน่ะแสนงอน แต่ก็บ่อยครั้งที่เรามักจะเห้นผู้ชาย "งอน" แล้วอาการงอนของผู้ชายก็จะเป็นงอนแบบผู้ชายๆ ผู้ชายหลายคนงอนแบบไม่ค่อยพูด ถามอะไรก็ไม่ค่อยจะยอมตอบ หรือตอบแบบถามคำตอบคำ ผู้ชายบางคนงอนก็กระฟัดกระเฟียด หากจะสังเกตผู้ชายงอนก้ให้ดูจากการแสดงออกที่ตรงข้ามกับลักษณะนิสัยปกติของ เขานั่นเอง
...แล้วง้อเป็นหรือเปล่า
ผู้ชาย บางคนง้อไม่เป็นและไม่สนใจที่จะง้อเหมือนอย่างที่ว่ากันว่าผู้ชายจะใช้ต่อม ของ "ความรู้สึก" น้อยกว่า "เหตุผล" อยู่เสมอ และการทำเช่นคือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับผู้หญิงโดยสิ้นเชิง จนบ่อยครั้งที่ผู้หญิงมักจะหาว่าผู้ชายชอบใช้สมองมากกว่าการมองอะไรๆด้วย หัวใจ แต่เมื่อผู้ชายรู้สึกผิดและคิดจะง้อเธอจริงๆ เขาอาจจะไม่แสดงออกโดยตรง แต่อาจอาศัยอาการเลี่ยงๆ ไปใช้เรื่องของดินฟ้าอากาศเป็นตัวช่วย แต่เชื่อว่าเราจะรู้ได้ว่านั่นเป็นการง้อในขณะที่บางคนก็พอใจและยินดีที่จะ เอ่ยขอโทษออกมาตรงๆ
ผู้หญิงขี้งอน...
ผู้ชาย บางคนก็มองว่าอาการงอนก็นับว่าเป็นความน่ารักข้อหนึ่งของผู้หญิง ในขณะที่งอนมากไปก็กลายเป็นน่ารำคาญ ควรที่จะงอนแต่พองาม อย่างไรเมื่องอนแล้วก็ลองหันกลับมาพิจรณาตนเองและนึกถึงจิตใจของเขาดูบ้าง เขาอาจจะกำลังตกอยู่ในช่วงเวลาเครียด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว พยายามเอาใจเนาไปใส่ใจเขาดูบ้างและในเมื่อการงอนนับเป็นการแสดงความรู้สึก อย่างหนึ่งที่สื่อสารว่าเธอยังแคร์เขา เราไม่ได้ห้ามไม่ให้งอนนี่นา
...ผู้หญิงก็ง้อเป็น
ใน ขณะที่ผู้ชายมีลักษณะไม่สนใจการง้อเช่นที่กล่าวมาข้สงต้น มีผู้หญิงน้อยคนที่จะไม่สนใจเรื่องการง้อเพราะเธอมักเชื่อว่าการใช้ความรัก ด้วยการใช้ความรู้สึก เมื่อเธองอนและนอกจากเธอมักจะรอคอยการง้อและแสดงออกถึงการขอโทษจากเขาแล้ว เธออาจจะยอมง้อเขาเสียเองเมื่อรู้สึกว่าตนเองเป็นฝ่ายผิดเช่นเดียวกับผู้ชาย เหมือนกัน
งอนแล้วง้อ...อย่าให้รอนาน
ทั้ง ผู้ชายและผู้หญิงต่างก็มีขีดจำกัดด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้นถ้าใครงอนกันก็ขอให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังรอให้ง้ออยู่ และแม้ว่ามันจะไม่ได้นับเป็นแบบฉบับตายตัวร้อยทั้วร้อยเป็นอย่างนั้น พองอนกันแล้วก็ควรทิ้งช่วงเวลาเพียงไม่นาน อย่างน้อยที่สุดก็ให้ต่างคนจะได้ใคร่ควรและไตร่ตรองสิ่งที่เกิดขึ้น โดยปราศจากอารมณ์เพราะเชื่อว่า ณ ขณะที่สองคนไม่เข้าใจกันนั้น นับเป็นเวลาที่ทั้งสองคนพร้อมที่จะระเบิดอารมณ์โมโหเข้าใส่กัน ถ้าหากความรักของคุณยังคงอยู่ เราเชื่อว่าแค่การงอนกันมันคงไม่ทำให้ความรักของคุณเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด และพบเจอกับทางตันได้แน่
ทั้ง นี้อาการ "ง้อ" กับ "งอน" ก็ยังคงอยู่คู่กับโลกสีชมพูของความรัก การงอนของใครคนหนึ่งทำให้อีกคนรู้ว่ารัก สนใจ เละแคร์ในขณะที่การง้อของใครคนหนึ่งก็ทำให้อีกคนรู้ว่ายังรัก ยังสนใจ และยังแคร์ จะว่าไปแล้ว "ง้อ" กับ "งอน" ก็คงเป็นเหมือนกับความสมดุลของความรักในแง่มุมหนึ่งเหมือนกัน
ความจรองของเด็กสายศิลป์
ลูกเล่าให้ฟังว่า ตอนไปเรียนพิเศษเพื่อกวดวิชาภาษาไทย ในห้องที่เรียนจะมีทั้งเด็กสายวิทย์และสายศิลป์ โดยปกติเด็กสายวิทย์จะไม่ค่อยถนัดวิชาภาษาไทยเท่าไหร่นัก ดังนั้นพอถึงเวลาที่อาจารย์ให้ทำแบบทดสอบ เด็กสายวิทย์จะมีความกังวลใจมากกว่าเด็กสายศิลป์
เด็กสายวิทย์ - ยากว่ะ..ทำไม่ค่อยได้
เด็กสายศิลป์ - เหอๆ ง่ายๆ พอทำได้ พอทำได้
พอถึงตอนประกาศผลทดสอบ ปรากฎว่าจากคะแนนเต็ม 30 คะแนน
เด็กสายวิทย์ ได้ 28 คะแนน / เด็กสายศิลป์ ได้ 16 คะแนน
เด็กสายวิทย์ - เฮ้ย กลุ้มว่ะ..ผิดตรงไหววะตั้ง 2 ข้อ
เด็กสายศิลป์ - เฮ้ ดีใจจังโว้ย..กูสอบผ่าน
ตอนลูกเล่าให้ฟังก็รู้สึกขำ แต่พอคิดต่อไปจึงพบว่า
ความจริงแล้ว คนเรามีความคาดหวังที่ต่างกัน เป้าหมายในชีวิตก็ต่างกัน สิ่งที่พูดหรือแสดงออกมาจึงนำมาเทียบเคียงกันไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่ในมาตราฐานเดียวกัน
อย่างเช่น กรณีตัวอย่างในเรื่องนี้ เด็กสายวิทย์คิดจะทำให้ได้เต็ม 100% ถ้าไม่มั่นใจหรือทำไม่ได้เต็ม 100 % ตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ ก็จะมีความกังวลและพูดว่า "ทำไม่ได้" ผิดหวังและเสียใจ
ส่วนเด็กสายศิลป์ ไม่ค่อยซีเรียสกับชีวิตและไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้สูงขนาดว่าจะต้องทำได้ 100 % พอทำได้เกินกว่าครึ่งก็สบายใจแล้ว
..เด็กทั้งสองสายไม่มีใครผิด เพียงแต่เขาคิดและตั้งเป้าหมายไว้ต่างกันเท่านั้น ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ วิธีคิดที่ต่างกัน ก็จะส่งผลที่ต่างกันในระยะยาว.
ขอขอบคุณบทความดี ๆ http://iam....
ขอระบาย !!! จากใจเด็กศิลป์ห้องเรา
วันนั้น เพื่อนเรามันโดนทำโทษให้ไปถูบรรได มันก็เดินแบกไม้ถูพื้นไว้ด้านหลังแบบปกติไม่ได้เเกว่ง ไม่ได้อะไรเลย แล้วอาจายร์มาจากไหนไม่รู้เิดินมาชนไม้เข้า เค้าก็บ่นว่า เดินไม่ดูเลย ไม่เห็นหรอ มีอาจายร์ตามข้างหลัง แล้วถือยังไงเห็นมั๊ยเนี๊ยะว่ามันเปียก แกก็บ่นใหญ่จนเพื่อนเรา แทบจะร้องไห้มันก็เดินไปถูจนเสร็จเราเอางานไปส่ง เค้าก็ถามเราว่า คนนั้นเป็นเพื่อนเรามั๊ยเราก็บอกว่า ใช่ค่ะ เค้าก็บอกว่า
'' หึ ว่าแล้ว ว่าต้องเป็นเด็กศิลป์ไม่มีมารยาทเอาซะเลย เพราะถ้าเป็นสายวิทย์เค้าคงไม่ทำแบบนี้หรอก ''
จากนั้นเราก็มองหน้าอาจายร์ แบบ งง ๆ ว่า พูดออกมาได้ยังไงว้ะ สายศิลป์มันผิดไงว้ะ เราเลยสวนกลับไปว่า
'' อาจายร์ค่ะ อาจายร์เป็นคนเดินออกมาชนเองนะค่ะ จำไม่ได้หรอ ? ''
จากนั้นเค้าก็บ่นเราใหญ่หาว่าเราเข้าข้างเพื่อนแล้วมาด่าครู เราเลยได้ขึ้นห้องปกครอง โทษฐานพูดจาไม่สุภาพกับอาจายร์
ส่วนใหญ่ ทุกคนมองเสมอว่า สายศิลป์ แรด ซึ่งยอมรับว่า แรดจริง แต่เป็นบางคนเท่าันั้น อย่าเหมารวม
สายศิลป์ค่อนข้างรุนแรง ทั้ง ความคิด และ พติฤกรรม ยอมรับ จริง ส่วนตัวเรา เราเป็นคนความคิดค่อนข้างรุนแรงและปากไว ถ้าบางครั้งอาจายร์พูดอะไรที่มันไม่ใช่หรือว่า ดูถูก เราก็มักจะสวนกลับไปทุกครั้ง ซึ่งบางครั้งสิ่งที่เค้าพูดมันไม่ใช่ความจริง
อาจายร์ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยอยากสอนห้องเรา เพราะ ห้องเราเป็นสายศิลป์ ! มีกิจกรรมอะไรถามว่าห้องเราอยากร่วมมั๊ย อยากจะตาย แต่เค้าไม่เอาห้องศิลป์เอง เค้าเลือกที่จะเอาแค่ห้อง 1 ห้อง 2 สายวิทย์ แล้วก็มาบ่นว่าทำไมห้องเราไม่เข้าร่วมกิจกรรม
อาจายร์ชอบ 2 มาตราฐาน แอ๊ะอะไรก็ห้อง 1 สายวิทย์ ๆ ๆ ๆ ๆ แทบจะกราบบูชามัน เอาขึ้นหึ้งอีกหน่อยคงทำสร้อยออกมาแล้วสวมเข้าคอ ความผิดห้องวิทย์เปรียบเสมือน ขี้ตาปลวก แต่ความผิดของห้องศิลป์เปรียบเสมือน
ภูเขาผสมกับเทือกเขาเอเวอเรสปนละเอียดบดผงกับเทือกเขาตะนาวศรี ความผิดครั้งนี้มหันนัก ต้องประหารลูกเดียว !!!!
อาจายร์ชอบด่าชอบว่าหาว่า โง่ เรียนไม่เก่งไม่มีสมอง ไม่มีมารยาท โธ่ !!!!!! พอเถียงหน่อยก็หาว่า ต่อปากต่อคำ สรุปคือถ้าด่ามาไม่ใช่ความจริงต้องยอมรับก้มหน้า ใช่มั๊ย ?
อาจายร์ชอบเปรียบเทียบ ความรู้สมอง และความสามารถกับเด็กวิทย์ พอเด็กห้อง 1 สายวิทย์ ไปแข่งชนะมา ป่าวประกาศทั่วโรงเรียนคุยยันลูกบวช ว่าลูกศิษย์
ฉัน ๆ ฉันสอน แต่พอเด็กศิลป์ไปแข่งมาชนะบ้าง เงียบกริบ ไม่มีแม้แต่เสียงปรบมือ หรือว่าคำอวยพร คนที่ตบมือให้มีแต่อาจายร์ที่ปรึกษากับเด็กห้องเดียวกันแค่นั้น
ไปโรงเรียนสาย ห้อง 1 โดนปล่อยก่อนไม่มีความคิด แต่ห้องศิลป์ลงชื่อ ตัดคะแนน ถ้าเกินกำหนดครั้งเชิญผู้ปกครอง ห้อง 1 เล่นเกมไม่ได้นะ ห้องศิลป์เท่านั้นที่ติดเกม โธ้ !!! ผู้ชายห้องกู ถามมันเล่น DOTA เป็นป่าว มาสอนหน่อยดิ่ มันบอกว่า อะไรคือ DOTA กูเล่นแต่ FB เราลองไปถามห้อง 1 ดูแหม อธิบายได้เป็นฉาก ๆ โธ่ !!!!
และมีอีกหลาย ๆอย่างที่ 2 มาตารฐาน ฝากไว้ด้วย เพื่ออาจายร์ที่โรงเรียน เล่นโพสจังจะได้มาอ่าน จะได้รู้ซะทีว่ามันอึดอัดแค่ไหน เอากลอนนี้ไปฉันให้เธอ !!!!
สักวา ห้องคิงส์ กะห้องบ๊วย
ว่ากันด้วย ความลำเอียง น่าอิจฉา
ห้องบ๊วยโดด คาดโทษ ต่างนานา
อ้ายเด็กห่า เด็กเหว เด็กเลวทราม
ห้องคิงส์โดด เขาไป หาความรู้
น่าเชิดชู หายไป ทัศนศึกษา
เรียนแบบเก่ง เปิดโลก นอกตำรา
ไม่มีว่า เพราะเขาเก่ง เด็กเรียนดึ
ขอถามว่า ต่อยกัน ใครจะผิด
ไม่ต้องคิด เด็กห้องคิงส์ ถูกสิพี่
เขาเด็กเรียน ไม่หาเรื่อง ไม่ราวี
ไม่เคยมี ความผิด ที่ติดตัว
เด็กห้องบ๊วย โดนตราหน้า ว่าห่าเหว
ชั่วช้าเลว มาสาย ไม่เป็นที่
ไม่เข้าเรียน เกเร ผิดทุกที
ทั้งๆที่ เด็กสายวิทย์ ผิดเหมือนกัน
เรื่องมาสาย ข้ออ้าง แม่งเยอะ
ขอผมเหอะ ขอแฉ เป็นหน้าที่
เด็กห้องบ๊วย มาสาย ตายทุกที
อ้างนู่นนี่ มัวเล่นเกมส์ ให้มันมือ
หลับในห้อง ก็โดนเฉ่ง ว่าขี้เกรียจ
แสนซีเรียส ทีมันหลับ ไม่ผลักไส
ปล่อยเขาเถิด เขาเรียนหนัก มากเกินไป
อ้ายฉิบหาย ผมเจอมัน อยู่ร้านเกมส์
อ่านหนังสือ ข้างใน ใช่หรือเปล่า
สอดไส้เข้า เล่มใน โป๊ทุกเล่ม
พอถึงจารย์ จับได้ โหโคตรเซง
ให้ครื้นเครง เรียนหนัก เลยพักใจ
ไม่เป็นไร หรอกครับ เด็กห้องวิทย์
ท่านไม่ผิด ท่านประเสริฐ เป็นไหนๆ
ท่านจงเรียน จงเก่ง แข่งกันไป
ข้างหน้าไซร้ ท่านคงได้ สมใจกัน
จะเป็นหมอ ฆ่าเมีย ก็เอาเสีย
เอ็นจิเนียร์ ตึกถล่ม ดั่งใจหวัง
ส่วนพวกผม ห้องบ๊วย ไม่จีรัง
วันหน้ายัง ไม่รู้ เป็นอะไร
ห้องบ๊วยเอ๋ย เล่นเข้าเถิด ให้สนุก
อย่ามัวทุกข์ ไปแข่งเขา จะเฉาได้
เรียนให้ฮา มาให้เฮ เป๋บ้าง ไม่เป็นไร
ชีวิตไซร้ มีรสชาติ ขาดคงตาย
หัวเราโง่ เรายอมรับ เรียนนั้นยาก
อย่ามาดัด ซะให้ยาก จะไม่ไหว
ผมเรียนให้ จบมอหก จบไวไว
จะได้ไป ใช้ชีวิต ตามต้องการ
จีพีเอ จีพีอาร์ อย่าได้ฝัน
รามคำแหง สถาบัน อันยิ่งใหญ่
ลูกขุนราม 8ปี เจ๋งจะตาย
แน่กว่าใคร ปริญญาไซร้ ได้เหมือนกัน
รวยมาหน่อย รังสิต เซนต์จอร์นโลด
ราชฎัฏ เกษมบัณฑิต อย่างที่ฝัน
หอการค้า เอแบค จบเหมือนกัน
ทีสำคัญ ใช้ชีวิต ให้คุ้มเอย
วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2555
พ่อฉันกับมันฝรั่ง
ชายชราอาศัยอยู่ในเมืองไดโดอย่างเดียวดาย เขาต้องการจะพรวนดินเพื่อทำสวนมันฝรั่ง
แต่มันเป็นงานที่หนักมาก
ลูกชายคนเดียวของเขา ต้องโทษติดคุก
ชายชราเขียนจดหมายถึงลูก อธิบายถึงสถานการณ์
ลูกรัก...
พ่อรู้สึกแย่มากเพราะดูเหมือนพ่อจะปลูกมันฝรั่งไม่ได้ในปีนี้
พ่อแก่เกินไปที่จะขุดไถแปลงสวน
ถ้าลูกยังอยู่คงจะไม่มีปัญหา
พ่อรู้ว่าลูกคงขุดแปลงสวนให้
รัก/จากพ่อ
หลังจากนั้น 2-3 วันชายชราได้รับ จม. จากลูก
พ่อครับ...
เพื่อเห็นแก่พระเจ้า พ่ออย่าได้ขุดพรวนแปลงสวนนะครับ
ผมฝังศพไว้ที่นั่นหลายศพ
รัก/จากลูก
ตี 4 เช้าวันรุ่งขึ้น จนท. เอฟบีไอและตำรวจท้องที่
แห่กันมาขุดค้นไปทั่วทั้งสวนแต่ไม่พบอะไร
จนท. ขอโทษชายชราแล้วจากไป
วันเดียวกันชายชราได้รับ จม. จากลูกชาย
พ่อครับ...
ตอนนี้คุณพ่อลุยปลูกมันฝรั่งได้เลย
ผมช่วยได้แค่นี้ละครับ ในสถานการณ์เช่นนี้
รัก/จากลูก
ทำไม ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้
เพราะอะไร...
วัยเยาว์
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ฉันยังเด็กเกินไปที่จะคิด
ชีวิตฉัน เพิ่งเริ่มต้น ทุกวันนี้ยังต้องแบมือขอเงินพ่อแม่
และฉันไม่เหลือพอที่จะเก็บ ฉันกำลังเล่นสนุก
วันหนึ่งเมื่อฉัน โตขึ้น ฉันจะเก็บเงิน
วัยรุ่น
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ฉันยัง เรียน หนังสืออยู่
พ่อแม่ให้เงินสำหรับพอใช้ในแต่ละวันเท่านั้น
ฉันยังเก็บเงินไม่ได้หรอก
นอกจากนั้นฉันยังมีเรื่องอื่นๆ
ที่ต้องใช้เงินอีกเมื่อฉันเรียนจบ
และถ้าฉัน หาเงินได้ เอง ฉันจึงจะเก็บ
วัย 20
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ฉันเพิ่ง เรียนจบ
ขอเวลาฉันได้พักสมองบ้าง และฉันยังไม่พร้อมที่จะผูกมัดเรื่องนี้
ฉันยังต้องการแสวงหาความสนุก ในขณะที่ฉันสามารถทำได้
ยังมีเวลาเหลืออีกมากที่จะคิด
ถึงตอนนั้นเมื่อฉัน พร้อม ฉันก็จะเก็บ
วัย 30
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้
ฉันเพิ่ง มีครอบครัว และต้องรับผิดชอบหลายอย่าง
ค่าใช้จ่ายลูกเดี๋ยวนี้แพงเหลือเกิน
และฉันยังต้องผ่อนหนี้เงินกู้บ้านอีกด้วย
ทุกวันนี้แทบจะชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่แล้ว
ถ้าวันข้างหน้าฉันหาเงินได้ มากกว่านี้ และลูกๆ โตแล้ว ฉันจึงจะเก็บ
วัย 40
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ลูกฉันเริ่มเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย
เดี๋ยวนี้ค่าหน่วยกิตและค่าต่างๆ แพงมาก
ไหนยังต้องผ่อนหนี้เงินกู้ที่ซื้อรถยนต์ให้ลูกอีกฉันกลัวพวกเขาลำบาก
ตอนนี้ยอมรับว่า ค่าใช้จ่ายสูง จริงๆ
และเป็นเวลาที่ยากที่จะเก็บเงิน
แต่อีก สักระยะ เมื่อพวกเขาเรียนจบ การเงินคงจะคล่องตัวขึ้น
ถึงตอนนั้นฉันจึงจะเก็บ
วัย 50
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ตอนนี้ ลูกๆ เริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หลายคนกำลังจะแต่งงาน
ฉันอยากให้พวกเขาเริ่มต้นชีวิตที่ดี
นอกจากนี้ฉันยังต้องไปช่วย ญาติ บางคน
ซึ่งตอนนี้พวกเขากำลัง ต้องการความช่วยเหลือ
เหตุการณ์มันไม่ได้เป็นไปตามที่ฉันคิดไว้เลย มันติดขัดไปหมด
โชคดีเมื่อไหร่ ฉันคงจะเก็บเงินได้
วัย 60
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ฉันนึกว่า สถานการณ์ น่าจะดีขึ้น ฉันอยากเกษียณอายุก่อน
แต่ฉันไม่สามารถทำได้
ฉันกำลังพยายามจ่ายเงินติดค้างจำนองบ้านที่เหลือและหนี้สินอื่นๆ
แต่ทุกอย่างยังประดังเข้ามา ไหนจะลูกเอยหลานเอย
ไอ้โน่นไอ้นี่มาลงที่ตัวฉันหมด ถ้า ภาระฉันหมด เมื่อไร
ฉันภาวนาว่าฉันน่าจะเก็บได้
วัย 70
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ฉัน แก่เกินไป ที่จะเก็บ
เงินบำนาญของฉันก็มีไม่มากพอ
บิลค่ายาและค่าดูแลรักษาพยาบาลระยะยาวทำให้ฉันเป็นห่วงอยู่
ฉันไม่อยากไปเป็นภาระของลูกๆ เขา
ฉันน่าจะเก็บตอนที่ฉันมีและควรเก็บได้
ตอนนี้
มันสายเกินไป......
ฉัน ไม่สามารถ เก็บเงินได้เดี๋ยวนี้จริงๆ.....
ปล. อ่านแล้วอยากให้ส่งต่อ เพราะอย่างน้อยคุณก็ ได้เตือนสติ
ให้คนอีกหลายคน ได้เก็บเงิน
ตอนที่เขาสามารถเก็บได้
ขอให้เพื่อนโชคดี......มีเงินออมมาก ๆ ทุกคนนะครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)