ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2555

ความแตกต่างระหว่าง ''นักเลง'' กับ ''มาเฟีย''และ''อันธพาล''


ขออุทิศบทความนี้ให้แก่ "คุณตา" นักเลงตัวจริงในดวงใจของผม
ในช่วง เวลานี้ทุกคนคงได้อ่านข่าวหนังสือพิมพ์หรือจากสื่ออื่นๆว่าทางรัฐบาลกำลัง ปราบปรามผู้มีอิทธิพลหรือมาเฟีย เจ้าพ่อ-เจ้าแม่ต่างๆทั่วกรุงเทพฯเนื่องจากธุรกิจต่างๆในกรุงเทพฯมีมากมาย นับไม่ถ้วนจึงทำให้ผลประโยชน์มหาศาล
มาเฟียหลายๆกลุ่มต่างก็เข้าไปแย่งชิงเม็ดเงินในธุรกิจเหล่านี้ โดยใช้วิธีการข่มขู่สารพัด คุกคามทุกรูปแบบทั้งต่อหน้าและลับหลัง สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก โดนทั้งเก็บค่าคุ้มครอง ถ้าไม่ให้ก็จะใช้ลิ่วล้อไปสร้างความก่อกวนต่างๆนานา ทำให้ไม่เป็นอันทำมาหากิน
มาเฟีย-กลุ่มนอกกฎหมายที่ใช้อิทธิพลสำแดงเดชต่อสังคมไปในทางที่ไม่ดี ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน



มาเฟียในปัจจุบันส่วนใหญ่มี ข้าราชการ ตำรวจ ทหารเข้าไปมีเอี่ยวมากพอสมควรตามความโลภของแต่ละบุคคล

ทุกท่านคงจะคุ้นกับคำว่า "คนมีสี" กลุ่ม คนมีสีเหล่านี้จะเข้าไปมีบทบาทในเรื่องของการรับจ้างทวงลิขสิทธิ์ บริษัทรักษาความปลอดภัย รับจ้างทวงหนี้ไปจนกระทั้งรับจ้างฆ่า!! กลุ่มคนนอกรีดเหล่านี้เป็นส่วนน้อยของกองทัพ รายได้ประจำเดือนที่ทางกองทัพให้อาจไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องจึงต้องหันมาหา งานนอกทำ คนพวกนี้สร้างความเสื่อมเสียให้แก่กองทัพเป็นอย่างมาก
...น่าสงสารคนดีๆที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่ต้องมาพลอยมัวหมองกับพวกนอกแถวเช่นนี้

มาเฟีย ในเครื่องแบบเหล่านี้นับวันยิ่งจะมีผุดมามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะไปทางไหนก็ได้ยินแต่ชื่อ เสธ.นั่น เสธ.นี่ มั่วไปหมด ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องหนาวๆร้อนๆเพราะไม่รู้ว่าจะถึงคิวต้องจ่ายให้พวก นี้เมื่อไหร่....

อันธพาล-บุคคลที่ ประพฤติตัวเป็นคนเกเร ชอบระรานหาเรื่องคนอื่น ชอบข่มขู่รีดไถชาวบ้าน พวกนี้ก็คล้ายกับมาเฟียตรงที่สร้างแต่ความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น

นักเลง-คนที่รักท้องถิ่น ใจกว้าง รักพวกพ้องและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาทุกรูปแบบในฐานะ "ลูกผู้ชาย"ตราบใดที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นทั้งยังชอบช่วยเหลือบุคคลที่อ่อนแอกว่าด้วย

คนที่ได้รับการขนานนามว่า "นักเลง" นั้น ต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์สูงพอสมควร ผ่านการต่อสู้ทั้งมือ-ตีน มีด และปืนผาหน้าไม้สารพัดกว่าจะก้าวมาถึงจุดนั้นได้

ตั้งแต่ เกิดมาไม่เคยได้ยินว่ามีนักเลงท่านไหนรังแกชาวบ้านเลย มีแต่พวกอันธพาลเท่านั้นที่ยังคอยก่อกวนผู้อื่นอยู่เป็นนิจไม่ต่างอะไรกับ พวกมาเฟีย

...อย่าลืมว่า "นักเลง"กับ "อันธพาล"และ"มาเฟีย"ไม่เหมือนกัน
นึก ถึงสมัยก่อน(ตอนสมัยรุ่นๆคุณตาคุณยายซึ่งเป็นผู้เล่าให้ฟัง) ท่านเล่าว่า ถ้ามีชาวบ้านคนใดถูกอันธพาลรังแก ก็จะไปขอร้องให้ คนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักเลงช่วย คนๆนั้นก็มีใจรักความยุติธรรม รักพวกพ้องเป็นที่สุดก็ไปช่วยจัดการเคลียร์ปัญหาให้อย่างไม่คิดเกรงกลัวโดย ไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆเลย
...นี่กระมังที่เขาเรียกว่า ใจนักเลง

นับแต่นี้เป็นต้นไปขอจงโปรดเข้าใจให้ถ่องแท้และแยกแยะให้ออกว่า
...อันไหน"นักเลง" อันไหน"มาเฟีย"และ"อันธพาล"

ฝึกสมองให้ไบรท์ด้วย 9 เทคนิค


ต่อไปนี้เป็นข้อแนะนำสำหรับการฝึกสมองให้ไบรท์หรือเฉลียวฉลาด ขึ้นค่ะ น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับวัยเรียนและสำหรับคนทำงานที่ใช้สมองจนอ่อนล้าไปมาก แล้วส่วนว่าจะมีเทคนิคอะไรกันบ้างนั้น เชิญติดตามกันได้เลยค่ะ
1. จิบน้ำบ่อยๆ
สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์ เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ
2. กินไขมันดี
คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวันจำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่นค่ะ
3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)
4. ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆเพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับ สิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและ หวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯเพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
8. เขียนบันทึก Graceful Journal
ฝึกเขียนขอบคุณ สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึกเช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก
พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
9. ฝึกหายใจลึกๆ
สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์

วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555

สิ่งที่ผู้หญิงไม่ชอบ


สิ่งที่ผู้หญิงไม่ชอบ


เนื่อง จากความเป็นเพศหญิง ซึ่งมีความคิดความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน การจะทำให้พวกเธอชอบนั้นจึงไม่ใช่สิ่งที่ง่ายๆเลย ถ้าเราไม่รู้จักพวกเธอให้ดีพอ แต่ก่อนที่จะทำให้เธอชอบ เรามาเรียนรู้สิ่งที่พวกเธอไม่ชอบในตัวเรากันก่อนดีกว่า เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยง ไม่ทำให้มันเกิดขึ้น เพราะคุณจะเสียคะแนน และผิดใจกับเธอไปเปล่าๆ จากนั้นค่อยมารู้กันว่าพวกเธอชอบอะไรในตัวคุณ



ความอ่อนแอ

      ธรรมชาติ สร้างผู้ชายมาให้มีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าผู้หญิง เพื่อที่จะปกป้องเธอจากอันตรายทั้งปวง ผู้หญิงจึงไม่ชอบผู้ชายอ่อนแอ ไม่ชอบผู้ชายขี้กลัว ขี้ขลาด วิตกกังวล หวั่นไหวง่าย ซึ่งความอ่อนแอมีอยู่ในตัวผู้ชายทุกคน และพร้อมที่จะแสดงออกมาเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย หรือช่วงเวลาที่เกิดอารมณ์เศร้า หดหู่ แต่เราต้องเก็บมันเอาไว้ ถึงแม้จะหวั่นไหว เจ็บปวด เสียใจ แค่ไหน ไม่ว่าด้วยเรื่องอะไรก็ตาม อย่าแสดงออกให้ผู้หญิงเห็น เก็บไว้ให้มิดอย่าให้มันหลุดลอดออกมาได้แม้เพียงนิดเดียว แต่การเก็บอารมณ์ที่เป็นลบไว้โดยไม่ระบายออก ย่อมไม่เป็นผลดีต่อตัวเราเอง เราควรปลดปล่อยมันออกมาโดยใช้การตัดสินใจด้วยความกล้าหาญ ซึ่งความกล้าหาญนั้นหมายถึงการแสดงออกถึงความห้าวหาญที่เต็มไปด้วยกำลังใจ และพลังโดยการตัดสินใจที่ถูกต้องด้วยความรู้ ความคิด และเหตุผล ยกตัวอย่างเช่นทหารที่อยู่ในสมรภูมิรบ ทุกคนต่างหวาดกลัว หวั่นไหว และต้องการจะหนีเพื่อจะมีชีวิตรอด แต่พวกเขาเลือกที่จะต่อสู้ ในกรณีแรกพวกเค้าจะลืมความกลัวตาย ลุยเข้าไปในสมรภูมิอย่างบ้าบิ่น โดยไม่ได้คิดหรือวางแผนใดๆทั้งสิ้น ดูๆแล้วเหมือนคนกล้า แต่กรณีนี้ไม่เรียกว่าความกล้าหาญ แต่น่าจะเรียกว่าโง่ รนหาที่ตาย ใช้แต่กำลังไม่ใช้สมอง ซึ่งแตกต่างกับความกล้าหาญโดยสิ้นเชิง กรณีที่ 2 คือ การวางแผนอย่างรัดกุมในการเข้าโจมตีข้าศึก โดยใช้ความคิด ความรอบคอบ และความรู้ที่ได้ศึกษามาจากกองทัพ และออกรบด้วยฝีมือการรบที่ได้รับการฝึกฝนแล้วเป็นอย่างดีในฐานะทหาร จนในที่สุดก็รบชนะ สามารถยึดสมรภูมิของข้าศึกได้สำเร็จ กรณีนี้ถึงเรียกว่าความกล้าหาญที่แท้จริง จากตัวอย่างนี้ผู้ชายทุกคนคงเห็นภาพได้ชัดขึ้น ดังนั้นเมื่อใดที่เกิดความอ่อนแอขึ้นมาในจิตใจ ให้ระบายออกมาด้วยการตัดสินใจอย่างกล้าหาญ แล้วคุณจะทำให้ผู้หญิงประทับใจ

การทำดีกับเธอ

      หัว ข้อนี้คงฟังดูแล้วขัดๆ ทำไมการทำดีกับผู้หญิงจึงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงไม่พึงปรารถนา จริงๆแล้วหากการทำดีนั้นเป็นการทำดีด้วยความหวังดี และไม่หวังผลตอบแทน เช่นถ้าเป็นพ่อแม่พี่น้อง เครือญาติ หรือเพื่อน ทำสิ่งดีๆให้เธอ ช่วยเหลือเธอด้วยความจริงใจ ย่อมไม่ทำให้เธอขัดใจแน่นอน แต่ถ้าคุณเข้ามาทำดีกับเธอเพื่อจะจีบเธอ นั่นแหละจะทำให้เธอรู้สึกไม่ดี ยิ่งคุณทำดีด้วยมากเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งรู้สึกอึดอัดมากขึ้นเท่านั้น พวกเธอรู้ดีว่าที่คุณเข้ามาทำดีกับ ซื้อของให้เธอ คอยขับรถรับส่งเธอ ไม่ใช่เพื่อตัวเธอ แต่เพื่อตัวคุณเอง เธอรู้ดีว่าคุณต้องการทำให้เธอรู้สึกดีกับตัวคุณ เพื่อที่เธอจะได้ชอบคุณ หยุดเถอะครับ ในกรณีนี้ พวกเธอจะตอบสนอง 2 ทาง คือ 1 หลอกใช้ ให้ความหวัง และต้องการสิ่งที่เราให้มากขึ้นเรื่อยๆ หรือ 2 คือหนีไปให้ไกลๆเท่าที่จะทำได้

การยอมรับในตัวเธออย่างง่ายๆ และความต้องการให้เธอยอมรับ

      ผู้หญิง ชอบความท้าทาย ดังนั้นการยอมรับตัวเธออย่างง่ายๆ เช่นเมื่อเจอกันครั้งแรก ก็ชมเธอว่าสวยว่าน่ารัก นิสัยดี โดยปกติผู้ชายคงคิดว่าจะทำให้เธอพอใจ และยอมรับในตัวคุณมากขึ้น แต่เปล่าเลย เธอกลับตอบสนองในทางบวกกับการ ล้อเล่น เย้าแหย่ ยั่วยวน กวนประสาท มากกว่า มันทำให้เธอสนุก ท้าทาย และรู้สึกเป็นกันเองมากกว่า การชมเธอเสียอีก ไม่เชื่อดูตัวอย่างง่ายๆในหนังไทย ละครทีวี พระเอกและนางเอกมักจะเริ่มต้นด้วยการล้อเล่น เย้าแหย่ จนถึงขั้นทะเลาะกันเลยก็มี แต่ท้ายที่สุด กลับลงเอยกลายเป็นแฟนกัน แต่พวกพระรองหรือตัวประกอบที่เข้ามาทำดีกับเธอตั้งแต่แรก หวังจะให้เธอประทับใจนั้น กลับต้องรับประทานแห้ว (แปลว่าผิดหวัง) กันทั้งสิ้น ซึ่งในชีวิตจริงก็ด้วยเหมือนกัน      และอีกอย่างที่คล้ายกันก็คือ ผู้หญิงไม่ชอบผู้ชายที่ทำตัวที่แสดงออกถึงความต้องการให้เธอยอมรับ เช่นการโชว์ออฟ (แสดงหรืออวดตัวว่าตัวเองเก่ง มีความสามารถ หรือมีอะไรเหนือกว่าคนอื่น) มันแสดงออกถึงการพยายามปกปิดปมด้อยของตัวเองมากกว่าที่จะทำให้เธอสนใจในสาย ตาและความรู้สึกของผู้หญิง รวมทั้งการบอกให้เธอรู้หมดทุกเรื่องด้วยความจริงใจ การคอยตามใจเธอ ด้วยเหตุผลเดียวกันนั่นคือ ได้มาง่าย และไม่ท้าทายนั่นเอง เชื่อไหมว่าผู้หญิงส่วนใหญ่จะตอบรับในทางบวก และให้ความสนใจ จนถึงคอยไล่ตามคนที่ไม่แยแสเธอ มากกว่าคนที่คอยตามตื๊อเธอเสียอีก

ความไม่จริงใจ

      ผู้หญิง จะไม่ชอบผู้ชายที่ไม่จริงใจ ถ้ายังเป็นเด็กบ้องแบ๊วอยู่ล่ะก็ อาจจะไม่แปลกที่โดนหลอกง่ายๆ เอาไอติมมาล่อก็โดนจับไปขายได้ละ แต่ยิ่งโตขึ้น ประสบการณ์มากขึ้น ความรู้สึกและสัมผัสของเธอก็จะถูกลับให้แหลมคม ชนิดแค่เฉี่ยวๆก็เลือดออกได้แล้ว เพียงแต่พวกเธอชอบทำตัวแอ๊บแบ๊ว (แปลว่าเสแสร้งแกล้งทำว่าตัวเองใสซื่อ บริสุทธิ์ ไร้มลทิน และช่างอ่อนด้อยต่อโลกนัก) เมื่ออยู่ต่อหน้าเรา เราเลยไม่รู้มาก่อน ดังนั้นเธอจะรู้ได้ไม่ยากเลยว่า คนที่เข้ามาในชีวิตเธอ ใครจริงใจ ใครไม่จริงใจ ดังนั้นพวกผู้ชายจำไว้เลยว่า ต้องจริงใจกับผู้หญิงทุกคน อย่าได้หลอกหรือทำอะไรเพื่อหวังผลประโยชน์จากพวกเธอเป็นอันขาด มันจะทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อได้เจอกับคุณ และไม่อยากที่จะคบหากับคุณต่อไปอีก


ความจำเจ

      อย่าง ที่ได้บอกไปแล้วว่าผู้หญิงชอบความตื่นเต้น ท้าทาย ความลึกลับน่าค้นหา นอกจากนี้ยังชอบการผจญภัย และการได้พบเจอกับสิ่งใหม่ๆอีกด้วย ดังนั้นผู้ชายที่ทำตัวจำเจซ้ำซาก ทำอะไรเดิมๆเวลาไปเที่ยวกับเธอ พูดด้วยน้ำเสียงโทนเดียวกันและอารมณ์เดียวกันตลอด แต่งตัวเดิมๆ ไม่เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย มีพฤติกรรมที่ซ้ำซากจำเจ (แม้แต่เรื่องบนเตียง) จะทำให้เธอเบื่อเอาได้ง่ายๆ ดังนั้นจงทำตัวให้น่าสนใจอยู่ตลอดเวลา รู้จักเซอร์ไพรส์เธอเมื่อมีโอกาส และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่จะทำให้ชีวิตคู่มีสีสันมากขึ้น (โดยเฉพาะเรื่องบนเตียง)

ตำราพิชัยสงคราม


ตำราพิชัยสงครามของไทยประเทศไทยมีตำราพิชัยสงครามใช้มา ตั้งแต่ในสมัยโบราณ ซึ่งนอกจากมีเนื้อหาเกี่ยวกับยุทธวิธีการรบด้วย ยังมีความเชื่อทางด้านฤกษ์ยามและโหราศาสตร์รวมอยู่ด้วย เช่น สมุดตำราพิชัยสงครามในสมัยอยุธยาวัสดุที่ใช้ทำสมุด ทำจากเยื่อของต้นสาหรือเรียกว่า กระดาษสา

ตัวอักษรที่ปรากฏในสมุดเล่มดังกล่าว เป็นลักษณะตัวอักษรไทยโบราณ และตัวอักษรขอมตัวอักษรไทยโบราณใช้เขียนบรรยายความทั่ว ๆ ไป ส่วนตัวอักษรขอมนั้นใช้เขียนในส่วนที่เป็นบทเวทย์มนต์ หรือยันต์

พิชัยสงครามของพระมหากษัตริย์

ผู้ปกครองแผ่นดินจะต้องศึกษาศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ เพื่อความสงบร่มเย็นแก่ไพร่ฟ้าทั้งปวง ให้รอบรู้หลักการปกครองบ้านเมือง เช่น ให้มีจิตวิทยาในการครองใจเสนาอำมาทย์ผู้สนองราชกิจต่างๆ เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นหลักชัยแห่งความสามัคคี และความจงรักภัคดีของอาณาประชาราษฎ์

ลักษณะให้บังเกิดศึก

หมายถึง การศึกสงครามจะเกิดขึ้นได้เพราะเหตุต่างๆ กล่าวคือ การจะเกิดศึกสงครามแต่ละคราวต้องมีต้นเหตุ ในตำราพิชัยสงครามระบุว่าสาเหตุที่จะบังเกิดศึกมี 13 ประการ คือ ด้วยเหตุแย่งชิงดินแดน แย่งทรัพย์สมบัติ พาหนะ มีผู้ยุยงให้แตกแยก เหตุจากสตรี เสียสัจจะ อุปทูต ราชทูตเจรจาขาดทางไมตรี ฆ่าฟัน ฝักใฝ่กษัตริย์ข้างใดข้างหนึ่ง ข่มเหงลูกค้าวานิช รับศัตรูไว้ในบ้านเมือง ราษฎรและบ้านเมืองทรสถานได้ความทุกข์ยากลำบาก

ในตำราพิชัยสงครามจะมีเรื่องเกี่ยวกับวิชาโหราศาสตร์แทรกอยู่และดูเหมือนจะ มิอิธิพลอย่างยิ่งในการพิชัยสงคราม ดังนั้นจึงต้องมีโหราจารย์ประจำกองทัพเปรียบประดุจดวงตาของกองทัพโดยกำหนด ว่า ผู้ที่ทำหน้าที่ต้องมีดวงชะตาให้คุณแก่พระมหากษัตริย์หรือประมุขของประเทศ นอกจากนั้นการคัดเลือกทหารเข้าประจำในกองทัพต้องนำชื่อของคนเหล่านั้นมาคำ นวนทางมหาทักษาพยากรณ์ซึ่งเป็นวิชาโหราศาสตร์แขนงหนึ่งเพื่อหาตัวเลขมาใช้ เป็นชื่อ เช่น เลข 1 ชื่อครุฑนาม เลข 2 ชื่อพยัคนาม เป็นต้น แล้วจึงให้ผู้มีนามต่างๆ เหล่านั้นเข้าประจำตำแหน่งของกระบวนทัพ

ถ้าฝ่ายข้าศึกเป็นมุสินาม ให้ใช้ขุนพลที่มีชื่พยัคนามออกสู้รบ ถ้านามฝ่ายข้าศึกเป็นสุนัขนามให้ใช้ขุนพลสีนามออกต่อสู้ ถ้าข้าศึกเป็นอชนามให้ใช้คชนามออกต่อสู้ เมื่อจัดการดังนี้แล้วก็จะได้ชัยชนะ และเมื่อจะเคลื่อนทัพไปหนใดก็ต้องกำหนดเวลา ่เชื่อว่้าดีที่สุดเป็นชัยมงคลแก่กองทัพ หรือที่เรียกว่า ฤกษ์พิชัยสงคราม ซึ่งโหราจารย์ประจำกองทัพจะเป็นผู้หาฤกษ์ให้ โดยเชื่อกันว่าฤกษ์เคลื่อนทัพมีอิทธิพลที่จะช่วยส่งเสริมให้มีชัยชนะหรือ ปราชัยแก่ข้าศึก และยังมีพระราชพิธีตัดไม้ข่มนามประกอบฤกษ์ด้วย

การจัดการกองทัพและการเคลื่อนทัพในตำราพิชัยสงครามระบุได้ชัดเจนว่า กระบวนพยุหยาตราทัพต้องประกอบด้วย ริ้วขบวน ขนาบ ขนาน ของเหล่าทหารตามลำดับ เพรียบพร้อมด้วยระเบียบวินัยอันดียิ่ง มีแสนยานุภาพเข้าทำศึก มียุทธานุภาพอันเกรียงไกร มีเสบียงอาหารส่งกำลังบำรุงเสริมพลังรบอย่างพร้อมเพรียง ดั่งคำประพันธ์ที่ปรากำอยู่ในหนังสือสมุดไทยเรื่องตำราพิชัยสงครามเขียนไว้ ว่า

" จัดแจงแต่งพยู่ห์โยธา พลช้างพลม้า อีกพลรบครบครันจัดทหารชาญเข้มแขงขยัน เร่งรัดเลือกสัน ผู้ไวผู่แว่นแก่นการเกนไว้ให้เสรจ์โดยวาร สำเนียงเสียงสาร ให้รู้การศึกทุกอัน ปืนใหญ่หน้าไม้เกาทัน ใหญ่น้อยจงสัน ให้เลือกแต่ล้วนหย่างดี แหลนหลาวทวนง้าวตาวจรี กันถัศหัดถี ทังไล่แลหนีวชาญฯ..."

ในการจัดกองทัพนั้นต้องมีกำลังศึก ๘ ประการได้แก่

หัวศึกคือแม่ทัพ ,มือศึกคือกองหัวป่า ,ตีนศึกคือช้างม้า ,ตาศึกคือโหราจารย์ ,หูศึกคือกองสอดแนม ,ปากศึกคือทูต ,เขี้ยวศึกคือทหาร ,กำลังศึกคือไพร่พล

การดำเนินศึก

ผู้เป็นแม่ทัพต้องรอบรู้กลศึก หรือวิธีเคลื่อนทัพเพื่อลวงข้าศึกในรูปแบบต่างๆ เช่น เมื่อมีความประสงค์จะเข้าโจมตี ก็แสดงให้เห็นเหมือนไม่มีเจตนาที่จะทำเช่นนั้น หรือยั่วอารมณืให้ข้าศึกรู้สึกโกรธบ้าง เมื่อเห็นว่าข้าศึกมีกำลังเข้มแข็งก็หลีดเลี่ยงเปลี่ยนเป็นลอบเข้าโจมตีให้ เกิดการระส่ำระส่ายก่อน และเข้าโจมตีเมื่อข้าศึกมีกำลังอ่อนลง หรือถ้าข้าศึกพักรบก็คอยรังควานให้รำคาญใจ ดำเนินให้กองทัพแตกความสามัคคี เพื่อกำลังทัพจะได้ไม่เข้มแข็ง เป็นต้น

เหล่านี้ในตำราพิชัยสงครามกำหนดไว้ ๒๑ ประการคือ กลฤทธิ กลสีหจักร กลหลักซ่อนเงื่อน กลเถื่อนจำบัง กลพังภูเขา กลม้ากินสวน กลพวนเรือโยง กลโพงน้ำบ่อ กลพ่อช้างป่า กลฟ้างำดิน กลอินทพิมาน กลผลานศตรู กลชูพิสแสลง กลแข็งให้อ่อน กลย้อนภูเขาหรือพังภูเขา กลเย้าให้ยอม กลจอมปราสาท กลราชปัญญา กลฟ้าสนั่นเสียง กลเรียงหลักยืน และกลปืนพระราม...

ในระหว่างเคลื่อนทัพ ชัยภูมิที่ตั้งกองทัพต้องพิจารณาให้รอบคอบ ตัวอย่างเช่น ภูมิประเทศเป็นแม่นำ้ ลำธาร ห้วย หนอง การจะตั้งกองทัพให้ไว้ช้างอยู่ข้างในไว้ม้าและพลเดินเท้าชั้นนอก แล้วให้ขุดคูทำเป็นกำแพงรอบให้มีหอรบบนกำแพง เป็นต้น ส่วนแบบแผนกระบวนทัพ ต้องจัดแต่พหุยาตราทัพเป็นรูปต่างๆ เช่น แต่งเป็นรูปปราสาทพยูห์ คือเคลื่อนทัพเป็นกระบวนริ้วปราสาท แต่งเป็นรูปจังโกทะกะพยูห์ คือเคลื่อนทัพเป็นริ้วขบวนรูปกระถางดอกไม้ เป็นต้น

การดำเนินศึกตามหลักวิชากลยุทธิ์โบราณในตำราพิชัยสงครามกล่าวไว้หลายประการ ตัวอย่างเช่น ดำเนินดุจหงส์บิน ให้กองทัพหลวงและพลช้างเดินทัพไปก่อน แล้วให้ จตุรงค์พลทั้งสี่ แยกออกเป็นสองส่่วน ยกตามไไปเป็นซ้าย ขวาแล้วให้ทัพหลวงเฉวียนฉวัด หกคืนตาม

ยุทธวิธีดำเนินศึกอีกประการหนึ่งคือการจัดกระบวนทัพเพื่อการตั้งรับและเข้า ตีขณะประจัญหน้ากันกอปรด้วยแสนยานุภาพอันมีเปรียบเสียเปรียบเช่น จัดรูปทัพรูปสีหนามพยูห์ เป็นการตั้งรับรูปสิงห์ในอิริยาบถก้าวเดิน ใช้สำหรับการตั้งทัพในพื้นที่อันมีชัยภูมิประกอบด้วยป่าชายเขาดงใหญ่ โดยกำหนดให้ทัพหน้าอยู่ที่คอสิงห์ ทัพหลวงอยู่ที่ท้องสิงห์ ทัพหลังอยู่ที่หางสิงห์ และมีกองแซงล้อมรอบอยู่ ๔ ทิศ จัดทัพรูปปทุมพยูห์ เป็นการตั้งทัพรูปดอกบัว ใช้ได้ทั้งตั้งทัพและเดินทัพ ในพื้นที่อันมีชัยภูมิอันเป็นที่ราบกลางทุ่งโล่ง และถ้าจัดทัพตั้งรับรูปปมธุกพยูห์มีรูปดั่งรวงผึ้งย้อย ให้จัดพลรบเข้าตีด้วย ธนุกะพยูห์ มีรูปดั่งคันธนูเป็นต้น

ตำราพิชัยสงครามที่มีฉบับในปัจจุบันถึงแม้จะไม่ให้รายละเอียดเชิงปฎิบัต ิอย่างชัดเจนแต่ก็จัดว่าเป็นเอกสารโบราณที่มีคุณค่ายิ่งในประวัติศาสตร์ของชาติไทยเพื่อชนพื้นหลังได้ศึกษาเป็นพื้ฐานทางการรบ

อีกประการหนึ่งชื่อของแม่ทัพนายกองผู้ทำหน้าที่คุมกองทัพนั้นต้องมีชื่อที่ ข่มฝ่ายข้าศึกด้วย เช่น ชื่อของนายทัพหรือขุนพลของกองทัพฝ่ายข้าศึกเป็นนาคนาม ให้ใช้ขุนพลที่มีชื่อเป็นครุฑนามออกต่อสู้ จะได้ชัยชนะ

การนับโมงยามแบบโบราณ

การแบ่งเวลาในสมัยโบราณนั้นแบ่งเวลากลางคืนออกเป็น ๔ ยาม กลางวัน ๔ ยาม
การนับโมงยามแบบโบราณ มีดังนี้
ปฐมยาม จากยามค่ำคืนไปถึง ๓ ทุ่ม (๑๘.๐๐-๒๑.๐๐ น.)
ทุติยาม จาก ๓ ทุ่ม ไปจนถึง ๖ ทุ่ม (๒๑.๐๐-๒๔.๐๐ น.)
ตติยาม จาก ๖ ทุ่ม ไปจนถึง ๙ ทุ่ม (๒๔.๐๐-๐๓.๐๐ น.)
ปัจฉิมยาม จาก ๙ ทุ่ม ไปจนถึงย่ำรุ่ง (๐๓.๐๐-๐๗.๐๐ น.)

ประเพณีและพิธีกรรมความเชื่อต่างๆที่เกี่ยวข้องกับพิไชยสงครามของไทย

โขลนทวาร

พิธีไสยศาสตร์บำรุงขวัญทหารก่อนที่จะออกสงคราม ทำเป็นประตูป่า ซุ้มประตูประดับด้วยกิ่งไม้สดๆให้ทหารในกองทัพลอด มีพราหมณ์คู่หนึ่งนั่งบนร้านสูงสองข้างประตู ทำพิธีสวดพระเวท ประพรมน้ำมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่กองทัพ พิธีนี้ต่อมาได้มีพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาเข้ามาด้วย โดยพระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถาสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าชนะมารแล้วประพรมน้ำมนต์แก่ ทหารที่ลอดซุ้มประตูเมื่อเสร็จศึกสงครามแล้ว ต้องผ่านโขลนทวารอีก กันเสนียดจัญไร แก้กันภูตผีปีศาจที่อาจติดตามมาจากสนามรบเป็นพิธีการที่บำรุงขวัญทหารผ่าน ศึกไม่ให้เสียขวัญจากการสงครามนั่นเอง

ตัดไม้ข่มนาม

เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งเมื่อจะยกกองทัพออกทำสงคราม โดยตั้งเป็นโรงพิธีขึ้น
เอาดินจากใต้สะพาน ดินท่าน้ำ ดินในป่าช้า อย่างละ ๓ แห่ง มาผสมปั้นเป็นรูปข้าศึก แล้วเขียนชื่อแม่ทัพข้าศึก ลงยันต์พุทธจักร บรรลัยจักร ทับลงบนชื่อนั้น แต่งตัวให้หุ่นดังกล่าวเป็นตามเพศภาษาข้าศึก เอาต้นกล้วยและไม้มีชื่อร่วมตัวอักษรเดียวกับชื่อของข้าศึกผู้เป็นแม่ทัพมา ปลุกเสกในโรงพิธีแล้วเอาหุ่นผูกติดกับต้นกล้วย เอาไม้นั้นประกบกันเข้าพราหมณ์อ่านพระเวทเมื่อได้ฤกษ์แล้วพระมหากษัตริย์จะ มีพระบรมราชโองการให้ขุนพลทหารคนใดคนหนึ่งทำพิธีแทน โดยพระราชทาน พระธำมรงค์เนาวรัตน์ และพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ให้ขุนพลจะใช้ดาบอาญาสิทธิ์ฟันไม้นั้นให้ขาดใน ๓ ที แล้วกลับเข้าไปบังคมทูลว่าได้ปราบข้าศึกมีชัยชนะตามพระราชโองการแล้วพร้อม ถวายพระแสงดาบอาญาสิทธิ์และพระธำมรงค์คืน

เคลื่อนพลตามเกล็ดนาค

เป็นการเคลื่อนทัพตามตำราพิชัยสงครามซึ่งบอกไว้ว่าวันใดหัวนาคจะหันไปทางทิศ ใดในการยกกองทัพนั้น จะต้องเดินทัพไปทางทิศเหนือเดียวกับทิศทางที่หัวนาคเดินไปจะเป็นสิริมงคลแก่ กองทัพ

ละว้าเซ่นไก่

เป็นพิธีบวงสรวงเจ้าป่า เจ้าเขา เทวดา เพื่อเป็นสิริมงคลแก่กองทัพ โดยผู้ทำพิธีจะตั้งเครื่องสังเวยบวงสรวงขอให้ทำการสำเร็จสมปรารถนา แล้วเสี่ยงทายโดยถอดกระดูกไก่เครื่องเซ่นตัวหนึ่งมาดูถ้ากระดูกยาวมีข้อถี่ ถือว่าเป็นนิมิตดี เป็นประเพณีเดิมของชาวละว้า อาจได้รับมาจากอินเดียก็ได้

สวัสดิมงคล

ตำราพิชัยสงครามของไทย...บอกลักษณะมีชัย ไว้สิบประการ แต่คัดลอกต่อๆกันมา จึงเหลือเพียง 8 ประการ คิดอ่านดี วางแผนดี ฤกษ์พานาทีดี ช้างม้ากล้าหาญดี ไม่ขาดอาหาร ไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บ ประกอบพิธีอันถูกต้อง การลักลอบเข้าเผาเมืองมีชัยชนะ...

เหตุที่ทำให้ปราชัย...ตำราก็บอกว่า...มีสิบประการเช่นกัน
อำมาตย์เสนาบดีหมองใจกัน ทหารขัดกัน จอมทัพและเสนาบดีมิได้ปลงใจอันเดียวกัน
ช้างม้ามิได้ฝึกปรือดี ขาดอาหารและอดอยาก มีโรคภัย ไพร่พลทะเลาะกัน โหรให้ฤกษ์ฟั่นเฟือน

ประการสุดท้าย...ถูกฝ่ายข้าศึกฝังอาถรรพณ์ อาคม
อาจารย์พลูหลวง เขียนไว้ในหนังสือ 7ความเชื่อของไทยว่า ตำราพิชัยสงครามไทย
รวบรวมมาจากสารพัดตำรา โหราศาสตร์ ยกเมฆ ทักษาพยากรณ์ อภิไธยโพธิบาทว์
สุริยยาตร์ เวทมนตร์คาถา

ตำราสวัสดิมงคล...ก็ถูกใส่ไว้ในตำราพิชัยสงคราม ตัวอย่างดังต่อไปนี้

อนึ่ง ถ้าจะไปรณรงค์สงคราม ห้ามลูกเมียข้าคนอื่นซึ่งอยู่ ภายหลัง อย่าตีหม้อข้าวหม้อแกงบนเรือน อย่าตบตีคนบนเรือน ให้เลือดตกทับเรือน อย่าให้ตบมือเล่นเต้นรำให้จงได้
ถ้าจะไปสงคราม ให้อาบน้ำก่อนค่อยไป เมื่อจะนอนทุกครั้งให้ล้างเท้าเสียก่อน
ถ้าจะตัดผมตัดเล็บมือเล็บเท้า ให้ตัดวันจันทร์ พุธ ศุกร์ เสาร์ ถ้าจะสระผมให้สระวันอังคาร เสาร์ถ้าจะเรียนวิชาให้เรียนวันพฤหัส

อนึ่ง ห้ามอย่าเอาผ้านุ่งเช็ดหน้า อย่าล้างหน้าด้วยกระบวยกะลา ให้ล้างหน้าด้วยขัน
อย่าฆ่าสัตว์ที่ต้องปีเกิด จะเป็นการถอยอายุ
การเอาผ้านุ่งเช็ดหน้า ถือกันมากว่าเป็นอัปมงคล ด้วยผ้านุ่งเป็นของต่ำ จะทำให้สง่าราศีเสีย

เรื่องอัปมงคลนี้โบราณถือกันมาก เช่น จะกินหมากเมื่อหยิบใบพลูจะป้ายปูนต้องเด็ดปลายทิ้งเสียก่อน ถือว่าปลายเป็นหางของใบพลู เมื่อจะเก็บผักตำลึงมาแกงก็ต้องเด็ดตีนทิ้ง
โบราณถือว่าจะทำให้คาถาเสื่อม

ส่วนกระบวยกะลานั้นถือว่าเป็นของต่ำคนโบราณมักใช้ กระบวยตักน้ำกิน และกระบวยตักน้ำล้างเท้า ไม่นิยมใช้กระบวยตักน้ำล้างหน้า

ความเชื่อนี้ ทำให้ทหารที่ไปสงคราม จะต้องมีขันโลหะเล็กๆติดตัวไปใช้ตักน้ำกินและล้างหน้าเมื่อจะถ่ายมูลหนักมูล เบา ให้หันหน้าไปประจิมและอุดรจึงจะดี อย่าถ่มน้ำลายลงที่อาจม ถ้าถ่มที่นั่น จะเจรจาหาสง่ามิได้

ครั้นถ่ายทุกข์แล้วให้อาบน้ำเสีย ถ้าหาน้ำอาบมิได้ ให้ล้างหน้าลูบหน้าเสีย
ถ้าจะอาบน้ำในคลองและห้วยธาร ห้ามถ่ายมูลหนักเบาลงในน้ำ
ถ้าตัวอยู่บนบก บนเรือน บนไม้ ถ่ายมูลหนักเบา ลงในน้ำได้แล..

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555


มหัศจรรย์แห่งชีวิต... หลักคิดจากท่าน ว.วชิรเมธี


๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน?
ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ

๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี?
(๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(๔) ขออย่าให้ตายในสงคราม ระหว่างคนไทยด้วยกันเอง

๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข

๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน

๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง

๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?
(๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
(๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
(๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ
ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา

๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้

๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี?
(๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
(๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
(๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ

๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา

๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี?
(๑) หางานใหม่
(๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
(๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
(๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด
จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่

๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย

๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
แทนที่จะไถ่โคกระบือ
คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า

๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน

๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?
มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน
ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ

๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?
(๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
(๒) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร
(๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง

๑๖. สวดมนต์บทไหนดี?
(๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
(๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า
จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้
คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง

๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี?
(๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
(๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
(๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส
เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด

๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก?
(๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
(๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน

๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน

๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน

การศึกษาไทย จากใจเด็ก


ผมไม่ได้เก็บกดฮะ ผมคิดในแนวอิสระ แนวทางความคิดแบบเสรีครับ ใครมาว่าผมเก็บกดหรือเปล่าก็เรื่องของคุณครับ

ผมจบแล้วครับ

บางคนอาจจะคิดว่า ทำไมคนเขียน มันเอาแต่บ่นๆ ว่าๆ การศึกษาไทยจังเลยวะ! เป็นเควี่ยอะไรหรือเปล่า? งั้นถามหน่อยครับ มีคนไหนมันจะมาลงบทความ ข้อดี ของการศึกษาไทยมั่งครับ ไม่งั้นป่านนี้ สภา ในไทยคงคุยกันแต่ความดีของตัวเองแล้วล่ะครับ!! แล้วช่วยรวมตัวกันหาทางแก้หรือ? ลองอ่านที่ผมเขียนหน่อยนะครับ ที่ว่า ดร. ชื่อดังเคยออกมาแย้งแล้ว เด็กไทย เคยออกมาแย้งแล้ว และอีกมากมายที่ พวกเราลืมกันไปหมดแล้ว แล้วยังไงครับ? อดแดรกครับ เหมือนเดิมครับ! ขำ อุนจิแตกครับ lol
ทำไมเด็กไทยเบื่อเรียนในประเทศตัวเอง (จากข้อคิดและความจริง)

ถ้าจะอ่าน ขอให้อ่านให้จบครับ ถ้าอ่านไม่จบไม่ต้องอ่านเลยครับ

-ครูปัญญานิ่ม เร่งงาน เร่งสอบ เร่งมันทุกเรื่อง

-ครูปากหมา และ ปากมากโคตรๆ บ่นมันทั้งคาบ พอเจอสอบเด็กทำไม่เป็นเซ็งจิตไปจนวันตาย

-งานเยอะ ไทยติดอันดับการเรียนยอดแย่ เพราะ งาน โครงงาน การบ้าน รายงาน โปรเจค เยอะโคตรๆ


-เรียนหนักเว่อร์ ต่างชาติ 3 วันเรียน 2 วันออกกำลังกาย (เฉลี่ย / ไม่ใช่เล่นรักบี้ทั้งวัน) ไทย 5 วันเรียน 2 วันเรียนพิเศษ // ต่างชาติ เข้ามหาลัยไหนก็ได้ ข้อสอบวัด EQ ไม่เน้น IQ เพราะ ไปเรียน IQ ในมหาลัย ไทย เข้ามหายลัยดังๆเท่านั้น วัดแม่งแต่ IQ ข้อสอบวัด EQออกแมาแบบ ปัญญาอ่อนโคตรๆๆๆ หัวโบราณรุ่นพระเจ้าเหาออกข้อสอบด้วยตัวเอง ขนาดเหามันยังทำไม่ได้

-เรียน 5 วัน วิชา พละ ...มีคาบเดียว (บางโรงเรียนอาจมี 2 คาบ )  อันนี้ส่วนใหญ่ทุก รร. เด็กก็  " เครียดโว้ย" ไปตามเคย
คอมพิวเตอร์ ก็ ... มีคาบเดียวอีกเหมือนกัน (บางโรงเรียนอาจมี 2 คาบ )

 (นี่คือเหตุผลที่ทำให้ เด็กไทยตัวเล็ก (เฉลี่ย) ลงทุกวี่ทุกวัน

- แบ่งระดับ แบ่งชนชั้น แบ่งความฉลาด ความหล่อ ความสวย ETC แบ่งกันอยู่นั่น เด็กเก่งแมร่งได้อยู่แต่ห้อง King กับเพื่อนสุดเก่งทั้งห้อง ห้อง ขี้ลิง เด็กกากก็อยู่กับกาก ยังงี้ใครมันจะไปเก่งขึ้นวะ / / (เรื่องจริง) ต่างชาติคละรวม สมมติ มี นร. 40 คน (มาตรฐานไม่เคยเกิน 45คน เกือบทุก รร. USA) 10 คน ฉลาดโพดๆ 20 คน ฉลาดแบบปานกลาง 10 คนโง่ขั้นเทพเรียกพ่อ ถ้านักเรียนสอบตก อาจารย์สอนโดนหักเงินเดือน + ห้องโดนตัดคะแนนทั้งห้อง (แย่โพดๆ) ดังนั้นมันจึงรวมหัวกันอ่านหนังสือ+วางแผนโกงข้อสอบขั้นเทพ

-ครูใหม่โดนตำหนิ โดนอิจฉา โดนบังคับสอนห้องบ๊วย ไปหาดูได้เลย ครูใหม่ส่วนใหญ่โดนด่าก่อนใคร ไม่รู้เป็นห่านอะไร ครูหน้าย่นทำผิดเหมือนกัน ไม่โดนดด่า ครูใหม่ทำไรหน่อยโดนกดดัน โดนแบน โดนด่า โดนตัดเงินเดือน อย่างงี้ใครจะไปมี อารมณ์สอนเด็กวะ หน้าตาดีเกินไปยังโดนด่า ไม่รู้ห่านอะไรนักหนา

-ออกกฎหมายขั้นเทพ เด็กไทยต้องหัวเกรียน! ไม่รู้เควี่ยอะไรนักหนา หัวเกรียน+เขียว มันจะฉลาดขึ้นเหรอ ควายผมยังยาวกว่ากรูอีกไอ้ห่าน / / เคยมี นายแพทย์ และ นักวิชาการ หัวใหม่จาก ทั้งในแนะนอก ยื่นคำร้องต่อ กระทรวงศึกษาธิกรรมกร ว่า ทำไมจึงต้องให้ เด็กไทยหัวเกรียน (ไม่นับ ร.ด.)

-เขากล่าวว่า นี่เป็นการ ก้าวก่ายสิทธิอันพึงได้ของมนุษย์ ว่าด้วยการใช้  อำนาจและกฎเกณฑ์ เข้าข่มเหง (ซึ่งมันเป็นเรื่องจริง ตามรัฐธรรมนูญทุกสมัย+กฎหมายโลก) นักวิชาการร่ายมาเป็นข้อๆอย่างมีหลักการ ทำเอาเด็กไทยเกือบจะดีใจว่า กูรอดแล้ว แต่! กระทรวงกรรมกรแห่งชาติออกมาตอบกลับง่ายๆว่า " สั้น ง่าย สะดวก สะอาด " (<<--โคตรเกย์!) นักวิชาการระดับ ป. เอก ถึงกับ อึ้ง อุนจิแตกทันที นี่น่ะเหรอ คนที่มีความรู้เขาพูดกัน ไอ้ห่าน


พักก่อน เดี๋ยวตาลาย ลายตา

-แจกชีท รร. ไทยไม่รู้ จะปล่อย นอะไรนักหนา ชอบ ซีรอคชีท เครื่อง ซีรอคนี่ขายดิบขายดีในไทยจริงๆ มีอะไร ซีรอค เอาครับ ไม่พอ ใช้กระดาษ รีไซเคิล อีก ซากๆ กากๆ คากๆ ถุยๆ เรียนเสร็จเอาไปเช็ดตรูดสบายใจเฉิบกันเลยทีเดียว ไอเราก็ไม่เข้าใจ แทนที่จะ ทำเป็นเล่ม + กระดาษขาว แล้วขายให้เด็กทีเดียว จะได้เก็บเป็นที่เป็นทาง ดันมาเก็บทีละ 5 บาท 10 บาท แล้วบอกรอรวมแล้วเย็บเล่ม ไอ้ห่าน! ทำหายหน้าเดียว อาจารย์ แมร่งไม่รับตรวจไอเควี่ยเอ๊ย !

- ลอกการบ้าน จากหัวข้อแรกๆ การบ้าน งานเงิน เยอะเว่อร์ๆๆๆๆๆ+++ๆๆๆๆ สุดท้าย กูทำไม่ไหว (ไม่ใช่ทำไม่ได้นะ) ขอลอกดีกว่า สมัยนี้มีจัดตั้งชมรม ลอกการบ้านกันตรึมสนั่น FaceBook Google+ Twitter ทำงานกันเป็นส่วน ใครทำหน้าไหน ทำวิชาอะไร สุดท้ายสแกนลงคอม แจกจ่ายยังกับถุงยังชีพช่วยน้ำท่วม ไม่ใช่ห้องเดียวด้วย! แมร่งลอกกันทั้ง รร.!

-เนื้อหาเรียนเยอะชิ(บ)หาย ทั้งประวัติศาสตร์ ทั้งไทยทั้งต่างประเทศ บาง รร.มันยังมี นอกโลกอีกตั่งหาก สุดท้ายเรียนจบแต่ตรูยังจำชื่อ เมืองหลวง ประเทศตัวเองไม่ได้ โทษการจัดระบบและเรียงเนื้อหาของไทย (บางอย่างควรไปเรียนใน มหาลัย แทน)

-รายงาน กระดาษปริ้นมหาประลัย นี่เลยครับพี่น้องชนชาติชาวไทยและต่างประเทศ ไอที่โลกร้อนไม่ใช่อะไร รายงานประเทศไทยครับ มันปริ้นกันเป็นว่าเล่น มีอะไรคิดไม่ออก รายงาน! คิดไม่ออกอีกทีสั่งรายงาน! 10 หน้า 15 หน้า ไม่ใช่!ครับ มันล่อไป โน่น

 40-100 หน้า สุดท้ายเป็นยังไง? อ่านไหม? ไม่อ่านครับ ใครมันจะไปมีพลังซูเปอร์ไซย่ามากขนาดนั้น / /

-สมมุตินะสมุติ ถ้า... รายงาน 20 หน้า / นักเรียนห้องนึง( 40 คน ) / 1 ห้องเป็นเท่าไหร่? 800 หน้าครับ ชั้นนึงมีกี่ห้องครับ ตีให้ครับ ให้ 5 ห้องพอครับ 5*800 ครับ เท่าไหร่ครับ = 4000 หน้าครับ เบจิต้ากับโงกุนร่วมร่างกันมันยังอ่านไม่หมดเลยครับ สุดท้ายทำไง? นับหน้าครับ+ความสวยงามของปกครับ แค่นี้แหละครับ ใครขาวดำ(ลดโลกร้อน) ได้ C- ครับ ใครชอบผลาญทรัพยากร (หน้าปกสีสดเว่อร์) เอาไปเลย A+++++++ ครับ ตอนจบทำไงครับ โยนเข้ากองครับ สุดท้ายเอาไปทิ้ง ไม่ก็เอาไปเผาผลาญ+พับกระดาษ+ทำสแตนท์เชียร์ครับ หมึกที่เสียไปล่ะครับ เอาไปรวมกันนี่ยิ่งกว่า 2012 น้ำท่วมโลกครับ

-เพิ่มให้ครับ เรื่อง ของการเข้าแถวครับ (จาก คอมเม้นนะครับ ขอบคุณมากครับ) ใช่เลยครับ รร. ในไทยนั้น ต้องการให้เด็กไทยเข้าแถวครับ ส่วนใญ่จะเป็นเฉพาะ รร. รัฐบาลครับ ไม่รู้เป็นอะไรต้องให้เด็ก เข้าแถวตากแดด ตากผน ตากลม ขี้ฝุ่น แบคทีเกรียน* ต่างๆนาๆ ว่ากันว่า เพื่อให้มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน สามัคคีกัน รักชาติ ศาส กษัตริย์ ครับ อันนี้ขอแย้งครับ เด็กเอกชน เขายังรัก ในหลวง รักชาติ รักศาสนามากกว่า เด็กรัฐบาลเลยนะครับ คงเพราะ สบายกว่า (lol) เห็นเข้าแถวมันยังโดดต่อยกันสนุกสนานเลยครับ บ้างก็เล่นมือถือ บ้างก็คุยไฟแล่บ บางคนมันยังคุยกับอาจารย์เฝ้าแถวเลย นอกนั้นก็ทนฟัง ผอ. อาจารย์ร็อคหน้าย่น มาบ่นทุกวี่ทุกวันครับ เสร็จแล้วกลับห้องครับ ถามหน่อย? ได้ฟังไหม? คำตอบคือ ไม่ ครับ อะไร!?มันบ่นอะไรไม่รู้ครับ

-ต่อจากข้อก่อนหน้านี้ครับ อาจารย์โคตร 2 มาตรฐานชาวไทยเลยครับ เด็กตากแดด เห็นเด็กบางคนไปแอบนั่งหลบแดด (กำลังจะตาย) บ่นใหญ่เลย ไม่มีความอดทน ลูกผู้ชาย ลูกผู้หญิง ไหม เสร็จแล้วยังไง? สั่งลงโทษให้ยืนครับ คิดว่าจะให้เด็กหน้าแตกครับ ไม่ใช่เลยครับ เด็กคนอื่นมันจะขึ้นมาโดด Side Kick หน้าอาจารย์อยู่แล้วครับ เพราะอะไรน่ะเหรอครับ? ไอตอนบ่นพี่แก ยืนอยู่ไหนครับ? ยืนใต้ต้นไม้ครับ! แล้ว...บ่นทำเหาอะไรครับ แน่จริงมานั่งกับตรูสิครับ

-จดงาน จดหนังสือ จดลายแทง จดแมร่งทุกอย่างครับ อาจารย์หลายๆท่านสมัยนี้ หิ้ว Notebook ไปมา เสียบสายต่อจอ แล้วสอนครับ เนื้อหามาจากไหนรู้ไหมครับ? มาจากหนังสือครับ! แล้วยังไงครับ นักเรียนมีไหมครับ? คำตอบคือ มีทุกคนครับ! แล้วยังไงต่อครับ? พี่แก สั่งให้จดครับ! งงดิครับ แล้วกระผมจะมีตำราไปทำเป็นโล่พระแสงอะไรครับ! ให้จดไม่ใช้เน้นที่สำคัญนะครับ! จดแม่งเกือบทั้งเล่มครับ ให้ ห่านฟ้าร้อง กุ๊กๆ ได้ มันถึงจะจบเล่มครับพี่น้อง! แล้วไงต่อครับ? ไม่จด จดไม่ทันทำไงครับ? ไม่สนใจครับ ด่าอีกต่างหาก จดช้าจังวะ พ่อเป็นหอยทากเหรอ แค่นี้เมื่อยเหรอ? นี่ครับคนเราเสียดสีกันลงคอครับ พ่อง!คุณเหรอครับ มือเป็นตอร์ปิโด จดทันที่พูด! พอถามให้จดทำไม? ตอบกลับมาครับ! จะได้ให้จำครับ! โหมันกล้านะครับ กรูยังไม่มีเวลาประมวลผลเลยคุณ...ร่ายต่อเลยครับ! แล้วจะไปเจริญได้ยังไงครับทีนี้!
หมดล่ะครับ คิดไม่ออกนี่จากใจจริงเลยครับพี่น้อง พอดีเห็นการศึกษาไทยแล้วปวดตับครับ ไม่ไหวแล้วครับ เป็นตัวแทนของเด็กไทยหัวเกรียนๆทั้งหลายครับ (แต่จบระดับหัวเกรียนแล้วครับ)

http://www.ichat.in.th ขอขอบคุณ


1.โรงเรียนรัฐบาล เรียนหนัก วันละ 7-8 คาบ

2.เมื่อมีคาบว่าง คุณครูวิชาใดวิชาหนึ่ง มักขอ

3.รร.เอกชน เด็กนักเรียนไม่เคร่งกฏ

4.รร.ที่เก่าแก่ ยึดติดศักดิ์ศรีมากเกินไป บ่มเพาะให้เด็กเป็นศัตรูกับสถาบันอื่น

5.รร.รัฐบาล เข้าแถวหน้าเสาธง ฟัง ผอ.ให้โอวาทก่อนเข้าคาบแรกแต่กิน เวลาไป 10-20 นาที

6.เด็กต้องตากแดด ร้อน หน้ามืดเป็นลม

7.บาง รร. ผิดกฏนิดหน่อย ก็เรียกผู้ปกครอง ทั้งๆที่ควรจะตักเตือนก่อน

8.เด็กไทยขนหนังสือในกระเป๋าเป็นสิบกิโล หลังงอไปโรงเรียน (รวมทั้งนิยายและการ์ตูน หนังสือโป๊)

9.การบ้าน งานต่างๆ ฝึกให้นักเรียนรับผิดชอบก็จริง แต่สั่งทีเยอะ แล้ววันนึงเรียนกี่วิชา ครูคนนึงสั่งกี่อย่าง? เด็กตายห่-า พอดี

10.มา รร. เช้า ลอกการบ้าน แล้วเด็กได้อะไร จากการสั่งงานเยอะ

11.หลับตี 1-2 พิมพ์รายงานส่ง

12.เนื้อหารายงานมาจากอินเตอร์เน็ต หามา ก็อปใส่เวิด ปริ้น เข้าเล่ม ส่ง

13.พรีเซนต์งานโดยการออกมาอ่าน

14.ครูแก่ เกินรับได้ โบราณ

15.คนเก่งไปเรียนหมอ แล้วใครมาเป็นครู?

16.รร.ในไทย แต่งยูนิฟอร์ม ชุดนักเรีย ชุดพละ ชุดลูกเสือ ทั้งที่อากาศร้อนจัด

17.มีเด็กที่ไม่ได้เรียนหนังสือเยอะแยะ

18.มีเด็กที่ได้เรียน แต่ไม่อยากเรียน

19.พ่อแม่เสียเงินค่าเรียนพิเศษ มากว่า ค่าเทอม มากเป็นเท่าตัว

20.ต่างประเทศ ปิดเทอม ไปเที่ยว ทำงานพิเศษ ทำกิจกรรม

21.เด็กไทยเรียนพิเศษเป็นบ้าเป็นหลัง

22.มหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย ไม่ติดใน 100 มหาวิทยาลัยโลก

23. บาง รร.จ่ายค่าเรียนคอมพิวเตอร์ทุกปี แต่ว่า ได้เรียนแค่ ม.1และม.4 = =

24.ครูบางคน การสอนคือการอ่านให้เด็กฟัง

25.ครูบางคน สอนไม่รู้เรื่อง ออกข้อสอบหิน เด็กตก ไม่ยอมให้แก้

26.ครู ขายของแก่นักเรียน ทำธุรกิจ ทดลองสินค้าในห้องเรียน ตั้งแต่ของเล็กๆน้อยๆ ยันถึงกิฟฟารีน แอมเวย์

27.ครูไม่สอน นั่งบ่นเรื่องที่ไม่ในตำรา แต่นักเรียนชอบฟัง(เพราะไม่ได้เรียน)

28.เวลาว่างที่ รร. นร.นั่งนินทาครู

29.ปัจจุบัน ทั่วไปคิดว่า ครู แค่คือ คนที่รับจ้างสอน ไม่ใช่แม่พิมพ์ที่แท้จริง

30.สอนไป ทุก10 นาที โทรศัพท์ดัง

31.ครูใช้เด็กซื้อกับข้าว ซื้อโอเลี้ยง ซื้อส้มตำ

32.ครูสนใจ เด็กที่เรียนพิเศษด้วยมากกว่า

33.ช่องว่างระหว่างครูและเด็ก เยอะมาก เนื่องจากจำนวนเด็กในห้อง เฉลี่ย 50 ขึ้น ครูจำนักเรียนได้ไม่หมด ยิ่งครูแก่ๆก็

34.รร. นานาชาติ มีความผูกพัน กับครูที่สอน ทั้ง รร.รักกันดี

35.บางคนเกรด 4.00 สอบไม่ติดก็มี เพราะการศึกษาไทย เก็บคะแนนสอบแค่ 15-30% นอกนั้นงาน การบ้านที่สั่ง

36.ครูบางคนตั้งใจสอน แต่ไม่มีเทคนิค ทำให้เด็กเบื่อที่จะเรียน

37.ความรู้ที่ใช้สอบ มาจากที่เรียนพิเศษ

38.กวดวิชาแต่ละจังหวัดมากกว่า 50 แห่ง

39.ครูบางคนชอบโอ้อวดว่าจบที่นั่น เอกอย่างนี้ ได้เกียรตินิยม แต่สอนไม่รู้เรื่อง

40.เด็กในห้องมี 50 คน เก่งสุดๆแค่ 1-2 คน

41.นอกนั้น เรียนๆเล่นๆ เที่ยวๆ

42.เด็ก ม.3 สะกดคำว่า family house ศัพท์อังกฤษง่ายๆไม่ได้

43.โรงเรียน ประจบผู้ปกครองที่มีเงิน

44.โรงเรียนหญิงล้วน มีทอมดี้เยอะ โรงเรียนชายล้วน มีเกย์ ตุ๊ดเต็ม

45.ต่างประเทศ เรียนวันละ 3-5 ชม. หลังจากนั้นก็สนามบาส สระว่ายน้ำ ห้องดนตรี ไม่ก็กลับบ้าน ทำกิจกรรม ไปอ่านหนังสือเอง

46.ถ้าเด็กเรียนที่ไทย ก็ไปกวดวิชา เรียนเลิก3 -4 ทุ่ม

47.เด็กเที่ยวนั่งรถไฟฟ้าไปสยาม

48.เด็กใส่แว่นเนื่องจากเล่นคอม มากกว่าเรียน

49.ครูคาดหวังกับเด็กห้องคิงเกินไป ทำดีนิดหน่อย ชมเว่อร์ๆ ทำผิดนิดเดียว คือเรื่องคอขาดบาดตาย

50.เอาใจใส่เด็กแต่ละห้องไม่เท่ากัน

51.รร.รัฐ ให้เด็กทำป้าย เดินรณรงค์ยาเสพติด เลือกตั้ง ฯ ตามนโยบาย ทำเอาหน้าตา รร. เด็กต้องเดิน 2-3กิโล แดดก็ร้อน หน้ามืดเป็นลม

52.วิชาอาจารย์ฝรั่ง ดูเหมือนจะมีความสุข จะหลับก็ได้ คุยกันไป แต่ก็เรียนไม่รู้เรื่อง

53.เด็กไทยอวดฉลาด

54.เด็กไทยตามกระแส แฟชั่น

55.เด็กไทยบ้าเที่ยว บ้าเรียน บ้าใช้เงิน บ้าดารา

56.วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์เป็นธรรมดา

57.ท้อง แท้ง ฆ่าตัวตาย ใจแตก ติดยา คือ ปัญหาวัยรุ่นไทยที่แก้ไม่ได้

58.เด็กส่วนใหญ่ฝันมี รร.ที่กว้าง ต้นไม้ สบายๆ บรรยากาศดี การเรียน สนุกมีกิจกรรมทำ

59.ความฝันห่างไกลความจริง รร. อากาศร้อนไม่มีพัดลม เสียงรถที่ถนนดังห้องเรียนติดห้องน้ำ ครูสอนก็ดุ แก่ โหดคะแนน น่าเบื่อ ครูลามก

60.มีพ่อแม่ บังคับ อนาคตวาแผนให้ลูกเสร็จสรรพ โดยไม่ถามว่าลูกชอบหรือไม่

61.พ่อแม่ชอบกดดัน ซึ่งความจริงในยุคนี้ การเลี้ยงลูกแบบนี้ หัวโบราณมากเด็กไทย ฆ่าตัวตายเพราะเครียดเยอะขึ้นทุกปี

62.ไฮโซ ต้องให้ลูกเรียนเอกชน นานาชาติ รร.รัฐสุดโด่งดัง

63.ไปเรียนพิเศษต่างประเทศ ตอนปิดเทอม

64.รู้ไหม คนต่างชาติคิดว่า วัยรุ่นไทยที่รวย พ่อแม่ คุณทำงานใหญ่โต นักการเมือง นักธุรกิจส่งลุกมาใช้เงิน นั้น เค้าคิดว่า พ่อแม่คุณคอรัปชั่น และคุณทำตัวไร้สาระ

65.ประเทศไทยเป็นประเทศด้อยพัฒนา แต่เรียกตัวเองว่า กำลังพัฒนา

66.วัยรุ่น ไม่เคารพผู้ใหญ่ ด่าได้ก็ด่า ก็พ่อแม่ฉันยังไม่ว่า คุณเป็นใครมาว่า

67.แต่งตัว ใช้เงิน ซื้อของอวดกัน

68.ตบกันแย่งผู้หญิง ผู้ชาย ทอมดี้ เกย์

69.มีเพื่อนในชีวิตจริงและสังคมอินเตอร์เน็ต

70.เล่นเกมออนไลน์ เล่นmsn ทุกวัน หลับดึก

71.เที่ยวจัด จนบางวันไม่กลับบ้าน พรุ่งนี้มีสอบ เอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยน ที่ห้องน้ำ รร.แล้วเข้าสอบ ก็มี

72.พ่อแม่เลี้ยงลูกดีเกินไป แย่เกินไป โอ๋ลูกเกินไป ด่าลูกเกินไป เด็กเก็บกด

73.เด็กที่ไม่ได้รับการศึกษา มีคุณภาพชีวิตที่แย่ บางคนยอมขายตัวเพือเอาเงินมาเรียนก็มี

74.ครูแนะแนว ตือครูที่เด็กชอบมากที่สุด

75.เด็กไทย เกรด 4.00 เอ็นเข้าคณะอินเตอร์ไม่ติด เด็กนานาชาติไม่เก่งเท่าเด็กรัฐบาล แต่นั่งฝนข้อสอบฉลุย เมื่อจะเอ็นเข้าคณะอินเตอร์

76.ต่างประเทศ อเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เรียนน้อยกว่าไทย แต่ทำไมฉลาดกว่า มีคุณภาพกว่า?

77.เด็ก คืออนาคตของชาติ แต่มีตัวอย่างบุคคลชั้นนำของประเทศที่เห็นได้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่า...แค่ ไหน เป็นแบบนี้ คุณยังจะหวังอะไรกับเด็กไทยศตวรรษที่ 21 อย่างเราไหม

78.วัยรุ่นไทยไม่อยากรับรู้เรื่องข่าวสารของประเทศไทยที่มีแต่อะไรที่ชวนทำให้น่าเบื่อ เกิดการแอนตี้ ไม่อยากรู้

79.เด็กไทยไปโรงเรียน และ มหาวิทยาลัย จากการสำรวจแล้ว พบว่า ปัจจัยคือ เพื่อน เท่านั้น

80.โลกก้าวหน้าไปทุกวัน แต่การศึกษาไทย ยังอยู่กับที่

7 นิสัยผู้ชายเจ้าชู้ ดูไม่ยาก


1. ผู้ชายที่หลงตัวเอง จำพวกนาซิสซัส หรือ narcissism คนลักษณะนี้มักรักใครไม่เป็น ได้แต่ชอบโปรยเสน่ห์ไปเรื่อยๆ มีลักษณะแบบเด็กๆ ชอบที่จะถูกรักและได้รับการรุมล้อมจากเพศตรงข้าม เพื่อเป็นการตอกย้ำให้รู้สึกถึงความเจ้าเสน่ห์ที่มีอย่างเหลือเฟือ



2. ผู้ชายที่ขาดความมั่นใจในความเป็นชายของตัวเอง คน กลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะล่วงเข้าสู่วัยทอง จึงต้องการพิสูจน์ให้ใครๆ เห็นว่าเขายังแน่อยู่ แต่ลึกๆแล้วก็เพื่อปลอบใจและสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง มากกว่า



3. ผู้ชายขี้เบื่อ จำพวกรักง่ายหน่ายเร็ว อยากลองสิ่งใหม่ๆ ที่ท้าทาย ชีวิต ที่ผ่านมาอาจล่องลอย จนดูไร้ค่า น่าเบื่อ เลยต้องแสวงหาสิ่งที่คิดว่าจะมาเสริมค่าและเติมชีวิตให้มีสีสัน การจีบสาวได้สำเร็จ บ้างไม่สำเร็จบ้างเป็นสิ่งท้าทายให้ชีวิตมีรสชาติยิ่งขึ้น



4. ผู้ชายที่บูชาความสวยงาม เห็นผู้หญิงสวยๆ แล้วทนนิ่งเฉยไม่ได้ อย่างน้อยขอให้ได้ส่งสายตา โลมเลียมสักหน่อยก็ยังดี ถือเป็นความสุขใจอย่างหนึ่ง




5. ผู้ชายขี้ระแวง อาจ เกิดจากการเลี้ยงดู การเรียนรู้จากการอบรมพร่ำสอนจนฝังใจว่าหญิงใดก็ ตามที่ก้าวเข้ามาในชีวิตล้วนหวังในทรัพย์สินและสมบัติพัสถาน คนพวกนี้จึงพยายาม ตีกรอบใจของ ตัวเอง ไม่ให้ถลำรักใครจริงจัง เอาแค่คบเล่นๆ ฉาบฉวยไปเรื่อยๆเพราะในใจมัวแต่ตีตราผู้หญิงว่า “หน้าเงิน”



6. ผู้ชายที่เคยผ่านประสบการณ์ชอกช้ำมาก่อน เช่น แม่ทรยศพ่อ เลยลงมือแก้แค้นเพื่อหวังจะให้ เพศตรงข้ามเจ็บปวด ผู้หญิงทั้งหลายเลยกลายเป็นเหยื่อเพราะถูกมองเป็นเสมือนตัวแทนของแม่





7. ผู้ชายเจ้าเสน่ห์ จีบผู้หญิงทีไรสำเร็จทุกที การตอบสนองของผู้หญิง เลยกลายเป็นแรงเสริม เพิ่มความ เจ้าชู้ให้มากขึ้น





ผู้ชาย เจ้าชู้ที่มีคู่ควงมากมาย มักเป็นคน มีเสน่ห์ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ซึ่งล้วนเป็นบ่วงที่ยั่วยวนชวนใจให้ติด(กับ) และผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเจ้าชู้จนเป็นนิสัยนั้นมักแก้ยาก ยกเว้นเสียแต่ว่าเขาเต็มใจ ที่จะเปลี่ยนจากพ่อปลาไหล มาเป็นแมวนอนหวด เพราะสภาพการณ์บางอย่าง หรือเกิดความ ตระหนักรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีของชีวิต เลยพาลรู้สึกเหนื่อยหน่ายต่อรูป แบบการดำเนิน ชีวิตแบบเดิมๆ ไปเลย